- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 30 June 2016 18:11
- Hits: 582
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
น้ำมันฟื้นตัวต่อจากความหวังที่ธนาคารกลางโลกจะใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบ Brexit แต่เชื่อว่าดัชนีมี upside จำกัด ให้น้ำหนักหุ้น 40% และเน้น Domestic Play ที่มีความผันผวนน้อย ค่า P/E ต่ำ ปันผลสูง (TCAP, RATCH, ASK, TK) Top picks เลือก ADVANC (FV@B189) เป็นหนึ่งในหุ้นที่เข้าข่ายทำ Window Dressing และ RATCH(FV@B60) ปลอดภัยสุดยามตลาดผันผวน
Fed มีโอกาสลดดอกเบี้ย เพื่อหักล้าง Brexit กด Dollar อ่อนค่า ดีต่อน้ำมัน
การรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจโลกยังคงสร้างความกังวล หลังจากปัญหา Brexit มีน้ำหนักถ่วงเศรษฐกิจโลกมากขึ้น ล่าสุด สหรัฐรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ ภาคครัวเรือน เริ่มมีทิศทางชะลอตัว กล่าวคือ รายได้ภาคครัวเรือน (Personal Income) เดือน พ.ค. เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ตลาดคาด (เพิ่มเพียง 0.2% เป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ ต.ค. 2558) ส่งผลให้การใช้จ่ายของครัวเรือน (Personal spending) ในเดือนเดียวกันเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.4% ชะลอตัวจาก 1% ในเดือน เม.ย. เช่นเดียวกับภาคการผลิตที่ยังชะลอตัว แม้ระยะสั้นเริ่มส่งสัญญาณกระเตื้องขึ้น กล่าวคือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) และผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยังหดตัวต่อเนื่อง 9 และ 4 เดือน ตามลำดับ
โดยภาพรวมทำให้ เชื่อว่า Fed จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ หรืออาจจะลดดอกเบี้ยลง ซึ่งทำให้ประเด็นนี้จะมีน้ำหนักถ่วงดุลกับ Brexit ในระยะสั้น ๆ และกดดัน Dollar Index กลับมามีทิศทางอ่อนค่า (ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 95.7 จุด) ซึ่งเป็นประเด็นที่หนุนสินทรัพย์เสี่ยง แต่อย่างไรก็ตามความผันผวนค่าเงินหลังจากนี้น่าจะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะมีผลทำให้ตลาดเงินและตลาดหุ้นโลกผันผวนอย่างมาก
สหรัฐอาจลดระดับปัญหาค้ามนุษย์ไทยดีขึ้น จากระดับ 3 ลงมาเหลือ 2
ประเด็นสถานการณ์ค้ามนุษย์ประจำปี (TPI) ที่จะเปิดเผยอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ก.ค. ล่าสุดสำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่าสหรัฐฯจะปรับสถานะปัญหาการค้ามนุษย์ (TIP report) ของไทยจากระดับเทียร์ 3 ซึ่งติดต่อมานาน 2 ปี (ประเทศที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองเหยื่อการค้ามนุษย์และไม่พยายามแก้ไขให้เป็นไปตามตามกฎหมายคุ้มครองเหยื่อการค้ามนุษย์) จะปรับขึ้นเป็นระดับเทียร์ 2 เฝ้าระวัง (Tier 2-watchlist ประเทศที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองเหยื่อการค้ามนุษย์)
ประเด็นดังกล่าว ถือว่าเป็น Sentiment เชิงบวกต่อ CPF(FV@B35) และ TU(FV@B25) แต่อย่างไรก็ตามทั้ง 2 บริษัทเปิดเผยมาตลอดว่าได้ทำถูกกฎหมายสากล ประกอบกับ ความผันผวนของค่าเงินยูโรและเงินปอนด์ น่าจะยังกดดันหุ้นในกลุ่มนี้อยู่ โดยเฉพาะ TU ได้รับผลกระทบในระดับปานกลาง เนื่องจากโครงสร้างรายได้เป็นเงินยูโรราว และ ปอนด์ 24% และ 7% ขณะที่มีต้นทุนเป็นเงินยูโร 15% จึงมีส่วนต่างรายได้ – ต้นทุนในรูปสกุลยูโร และปอนด์ ทั้งนี้แม้อาจจะได้รับผลชดเชยจากที่มีหนี้สินเป็นเงินยูโร 3% อย่างไรก็ตามปีนี้ TU มีการ Hedging ราว 90% ผลกระทบต่องบกำไร-ขาดทุน จึงน่าจะเกิดขึ้นปี 2560 เป็นต้นไป จึงแนะนำซื้อ TU (FV@B25) เมื่อราคาอ่อนตัว
หุ้นน้ำมันกลับมานำตลาด แต่น่าจะมีแนวต้านใกล้กับก่อน Brexit
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นแรง อาทิ น้ำมันดิบตลาดล่วงหน้า Brent ปรับขึ้นกว่า 4% จากวานนี้ ล่าสุด 50.61 เหรียญฯต่อบาร์เรล และน้ำมัน WTI ล่าสุด 49.53 เหรียญฯต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดูไบก็กลับมาซื้อขายระดับ 45 เหรียญฯต่อบาร์เรลอีกครั้ง คาดปัจจัยหลักน่าจะมาจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่ลดลงมากกว่าตลาดคาด โดยสำนักสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) รายงานสต๊อกน้ำมันดิบ สิ้นสุด 24 มิ.ย. ลดลง 4 ล้านบาร์เรล (VS ตลาดคาด 2.4 ล้านบาร์เรล) ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 6 (เช่นเดียวกับสต็อกน้ำมันดีเซลลดลง 1.80 บาร์เรล ยกเว้นน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.36 ล้านบาร์เรล จากกำลังผลิตเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ก่อนเพื่อรองรับการใช้ในวันหยุดวันชาติสหรัฐสัปดาห์หน้า)
นอกจากนี้ น่าจะมาจาก ความกังวลต่อปัญหา Over supply ลดลงตามลำดับ โดยเฉพาะปัญหาทางด้านแหล่งผลิต ล่าสุด เกิดประท้วงหยุดงานของคนงาน Norwegian oil and Gas ส่งผลให้ Supply จากทางฝั่งยุโรปหายไปราว 1.96 ล้านบาร์เรลต่อวัน (2.1% ของกำลังผลิตโลก) ขณะด้าน Demand เริ่มดีขึ้น หลังจาก จีนกลับมานำเข้าในช่วงที่ผ่านมา และยังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลขับขี่ของสหรัฐ โดย EIA คาดการณ์ปริมาณน้ำมันโลกจะกลับมาสมดุลภายใน 2Q60 และจะเริ่มขาดดุล ช่วง 3Q60 ผนวกกับ Dollar Index ที่อ่อนค่าต่อเนื่องข้างต้น หนุนให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ระยะสั้น แต่ระยะยาวยังมีความเสี่ยงอยู่มาก และคาดว่าราคาน้ำมันน่าจะไม่สามารถผ่านแนวต้าน 52 เหรียญฯต่อบาร์เรลได้ จึงแนะนำซื้อสะสม PTT(FV@B342)
งานก่อสร้างชัดเจน หลังประมูลสายสีส้ม ต่อไปคือสีเหลือง/ชมพู บวก CK, UNIQ
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐตามแผนลงทุนเร่งด่วน 20 โครงการ มูลค่ารวม 1.8 ล้านล้านบาท ในระยะ 5-6 ปีข้างหน้า ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการที่ได้เปิดประมูลไปแล้ว คือ ท่าเทียบเรือชายฝั่ง มูลค่า 1.86 พันล้านบาท, ศูนย์การขนส่งตู้สินค้าท่าเรือแหลมฉบัง มูลค่า 2.03 พันล้านบาท และ โครงการรถไฟทางคู่ ชุมทางจิระ-ขอนแก่น มูลค่า 2.60 หมื่นล้านบาท ส่วนโครงการที่อยู่ในระหว่างประมูล จะเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีการซอยเป็นสัญญาย่อยๆ คือ มอเตอร์เวย์ 3 เส้นทาง และ สนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2
สำหรับ โครงการที่ ครม. อนุมัติแล้ว ก็จะเดินหน้าเปิดประมูลทันที ล่าสุด วานนี้ รฟม. ประกาศขายซองประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง และสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ทั้ง 2 เส้นทางเป็นรูปแบบ PPP net cost ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลจะลงทุนค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน ส่วนที่เหลือเอกชนรับผิดชอบทั้งค่างานโยธา จัดหาระบบรถไฟฟ้า การให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง ตลอดจนจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการ โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี 3 เดือน และระยะเดินรถ 30 ปี (แยกประมูลคนละเส้นทาง) โดยกำหนดขายซองวันที่ 6 ก.ค - 5 ส.ค. 59 และปิดรับซองวันที่ 7 พ.ย. 59 จากนั้นจะเปิดซองรับข้อเสนอ (รู้ผลผู้ชนะในวันที่ 17 พ.ย. 59)
ประเด็นดังกล่าว ถือเป็นข่าวบวกอย่างมากต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างโดยเฉพาะรายใหญ่อย่าง ITD CK STEC และ UNIQ ที่จะเข้าประมูลโดยตรง เนื่องจากมีคุณสมบัติด้านเงินทุน และประสบการณ์ track record ที่เคยผ่านงานก่อสร้างขนาดใหญ่มาก่อน โดยคาดว่า CK จะร่วมกับ BEM ร่วมประมูล ส่วน STEC จะร่วมมือกับ BTS ขณะที่ ITD และ UNIQ ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าจะจับมือกับใคร เนื่องจาก 2 โครงการนี้ เอกชนจะต้องประมูลไปทั้งโครงการคือรวมทั้งงานก่อสร้างและเดินรถด้วย
ทั้งนี้ งานโครงการใหญ่ที่คาดจะประมูลถัดไป คือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี วงเงิน 92,532 ล้านบาท และรถไฟทางคู่ช่วงประจวบ-ชุมพร วงเงิน 17,290 ล้านบาท โดย CK และ ITD ถือเป็นตัวเต็งสำหรับรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งมีงานใต้ดินจำนวนมาก เพราะทั้ง CK และ ITD เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อน
ฝ่ายวิจัยเลือก CK(FV@B36) เป็น Top Pick จากความน่าสนใจทั้งในเชิง Valuation และมีลุ้นได้งานเพิ่มสำหรับทุกโครงการที่เข้าประมูล และ UNIQ(FV@B20) ที่มีศักยภาพสูงเช่นกัน และมุ่งเน้นรับงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐเป็นหลัก จึงได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากการเปิดประมูลโครงการภาครัฐจำนวนมากในปีนี้ ส่วนบริษัทรับเหมาขนาดกลาง-เล็ก ชอบ NWR ([email protected]) และ SEAFCO ([email protected])
ต่างชาติสลับมาซื้อหุ้นในภูมิภาค แต่ขายหุ้นไทยเล็กน้อย
วานนี้ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 324 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิต่อเนื่อง 3 วัน) และเป็นการซื้อสุทธิอยู่ 4 ประเทศ คือ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิราว 188 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 131 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 7), ฟิลิปปินส์ 8 ล้านเหรียญ และเกาหลีใต้ 6 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 4 วัน) ยกเว้นไทยที่ต่างชาติสลับมาขายสุทธิเล็กน้อยราว 8 ล้านเหรียญ หรือ 295 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) ตรงกันข้ามกับสถาบันฯที่ยังคงซื้อสุทธิสูงถึง 5.6 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 โดยมียอดรวมสูงถึง 1.2 หมื่นล้านบาท) โดยสาเหตหลักๆน่าจะมาจากการทำ Window Dressing ของนักลงทุนกลุ่มดังกล่าว ตามที่กล่าวไว้ใน Quantitative Analysis ในวันที่ 28 มิ.ย. ที่ผ่านมา
ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันในประเทศสลับมาขายสุทธิราว 5.1 พันล้านบาท ต่างกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิสูงถึง 1.7 หมื่นล้านบาท
ตลาดมี upside จำกัด เน้นหุ้น Domestic : TCAP, ASK, TK, RATCH
กลยุทธ์การลงทุนยังให้เน้นหุ้น 40% ของเงินลงทุน ที่เหลือให้กระจายลงทุนในทองคำหรือตราสารที่เกี่ยวข้องกับทองคำ 15-20% ตราสารหนี้รัฐบาล/เอกชนในประเทศ 25-30% และ ลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ 20-25% ซึ่งน่าจะเป็นตลาดในแถบเอเชีย โดยเฉพาะญี่ปุ่น ซึ่งน่าจะได้รับผลกระทบจาก Brexit น้อยกว่าประเทศพัฒนาอื่น ๆ ทั้งนี้แม้ในปี 2559 EPS Growth ของตลาดญี่ปุ่นจะติดลบ 1.8% แต่มีแนวโน้มกลับมาเป็นเติบโต 10.1% (เช่นเดียวกับตลาดหุ้นพัฒนาแล้วอื่นที่ติดลบ เช่น DAX ติดลบ 2.8% ในปีนี้ แต่เป็นบวก 10.3% ในปี หน้า CAX ติดลบ 3.1% ปีนี้ แต่บวก 11.8% ปีหน้า DJIA ติดลบ 3.4% ปีนี้ แต่จะบวก 12.5% ปีหน้า FSTE100 ติดลบ 7.4% ปีนี้ แต่บวก 17.2% ในปีหน้า แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่ามีโอกาสที่นักวิเคราะห์ในตลาดหลัก ๆ เหล่านี้จะปรับลดประมาณการกำไรของตลาดฯ เหล่านี้ลง) ขณะที่ค่า Expected P/E ตลาดญี่ปุ่นจะลดลงจาก 16.2 เท่าในปีนี้เหลือ 14.7 เท่า ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นพัฒนาแล้วอื่นๆ (FSTE100 มี Expected P/E 17 เท่าปีนี้และ 15.7 เท่าปีหน้า DJIA ประมาณ 16.5 เท่า ปีนี้ และ 14.7 เท่าใน ปีหน้า ยกเว้นบางตลาดที่อาจจะดูสูงกว่า เช่น CAC40 มีค่า Expected P/E 14.8 เท่าในปีนี้ และ 13.2 เท่าในปีหน้า และ DAX มีค่าเฉลี่ย 12.8 เท่าในปีนี้ และ 11.6 เท่าในปีหน้า) แต่เชื่อว่ามีโอกาสที่นักวิเคราะห์โลกจะปรับลดประมาณการกำไรของตลาดพัฒนาแล้วใน 2 ตลาดหลัง ทั้งนี้ให้ลดน้ำหนักหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจภายนอก มาเน้นหุ้น Domestic ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มเช่นเดิมคือ
หุ้นที่มีความผันผวนต่ำ มีค่า P/E อยู่ในระดับต่ำ และมี dividend yield สูง หรือมีกระแสเงินสดมั่นคง พร้อมเงินปันผลสูง อาทิ RATCH (FV@B60), TCAP ([email protected]), ASK ([email protected])
หุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ อาทิ ความคืบหน้างานก่อสร้าง และการให้เงินช่วยเหลือภาคเกษตร เช่น CK (FV@B36), UNIQ (FV@B20), TK (FV@B12), S11 ([email protected])
กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีกระแสเงินสดมั่นคงและจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี (กองทุนได้รับยกเว้นภาษีนิติบุคคล) โดยกองทุนเด่นเลือก CPNRF และ TFUND
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์