- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 27 June 2016 18:37
- Hits: 3583
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : SIRI (จากซื้อเป็นถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวันศุกร์ร่วงแรง ในระหว่างวันอ่อนลงไปถึงลบ 42.57 จุด (1393.83 จุด) แต่ก็เด้งกลับลดช่วงลบขึ้นมาปิดลบ 23.21 จุดที่ 1413.19 จุด เนื่องจากนักลงทุนบางกลุ่มเข้ามาเล่นเก็งกำไรระยะสั้น กับบางกลุ่มมองว่าเป็นจังหวะซื้อหุ้นพื้นฐานดี นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 7.5 พันล้านบาท พอร์ตบล.ขายสุทธิ 4.7 พันล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิน้อยกว่าคาดมาก คือ เพียง 784 ล้านบาท ด้านรายย่อยซื้อสุทธิ 12.9 พันล้านบาท
สำหรับสัปดาห์นี้ ผลประชามติสหราชอาณาจักรยังกดดัน โดยทางกลุ่มผู้สนับสนุนให้อยู่ใน EU ต่อร่วมลงชื่อกว่า 1 ล้านรายชื่อเพื่อให้เปิดสภาผู้แทนราษฎรอภิปรายในเรื่องนี้ รวมทั้งขอใช้ข้อกฎหมายที่ว่าถ้าผลโหวตออกมา OUT หรือ IN ต่ำกว่า 60% และจำนวนผู้มาใช้สิทธิต่ำกว่า 75% จะสามารถขอทำประชามติรอบ 2 ได ้ ซึ่งผลโหวตเมื่อ 23 มิ.ย.59 ออกมาเป็น OUT 51.9% และมีผู้มาใช้สิทธิ 72.5% จึงมีโอกาสที่จะทำประชามติรอบ 2 แต่ก็ยังไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่และถ้าเกิดขึ้นผลจะเป็นอย่างไร ซึ่งความไม่แน่นอนคือความเสี่ยง แต่เป็นความเสี่ยงที่มาจากภายนอก ดังนั้นจึงแนะนำให้ลงทุนในกลุ่มที่เป็น Domestic Play + CLMV ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกหรือได้รับผลกระทบอย่างจำกัด โดยเราเห็นว่าว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศยังคงเดินหน้าต่อ การอุปโภคบริโภคขั้นพื้นฐานในชีวิตประจำวันยังเป็นไปตามปกติแม้ว่าอังกฤษจะออกจาก EU ดังนั้นหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง ค้าปลีกที่เน้นสินค้าจำเป็นขั้นพื้นฐานยังไปได้ดี และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ก็ยังอยู่ในข่ายที่น่าสนใจทยอยซื้อสะสมเพื่อลงทุน หุ้นเด่น คือ CK, SCC, TMT, CPALL, CPN, BBL, KBANK, TCAP, JASIF หุ้นพื้นฐานแนะนำทยอยซื้อสะสมวันนี้เป็น TCAP
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบ แต่เน้นซื้อค่าบวก (เล่นเด้ง) /หรือซื้ออ่อนตัวที่แนวรับ 1390-1380 หรือ 1350+/- จุด ส่วนการรีบาวด์มีแนวต้านระยะสั้น 1420, 1430-1440 จุด
การ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีและมีโอกาสปรับขึ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ HMPRO, CKP, ILINK ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ BTSGIF, AP, FSMART, SPA, KTC, BEM, SYNEX, EPCO, VGI หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ MCS, BWG หุ้นที่หลุด List เป็น TMT, IVL
ปัจจัยต่างประเทศ
• อังกฤษ : ผลประชามติอังกฤษออกจาก EU…แต่กลุ่มผู้สนับสนุนฝั่ง IN ขอใช้ข้อกฎหมายทำประชามติรอบ 2
การนับคะแนนอย่างเป็นทางการเสร็จสิ้นในช่วงบ่ายวันที่ 24 มิ.ย.59 (เวลาไทย) พบว่าประชาชนที่มาออกเสียงใน 382 เขตเลือกตั้งมีมติให้สหราชอาณาจักรออกจาก EU โดยฝ่ายสนับสนุนให้สหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป (EU) ชนะฝ่ายที่ต้องการอยู่ใน EU ด้วยคะแนน 17,410,742 : 16,141,241 คะแนน หรือ 51.9% : 48.1%
นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศลาออกหลังจากผลการลงประชามติระบุว่าสหราชอาณาจักรตัดสินใจแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (EU) ทั้งนี้นายเดวิดเป็นคนหนึ่งที่หนุนให้อังกฤษเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปต่อไป ทางด้านเยอรมนีจะเชิญประธาน EU ผู้นำฝรั่งเศสและอิตาลีประชุมวันนี้ (27 มิ.ย.)
อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายของอังกฤษระบุไว้ว่า ถ้าประชาชนลงชื่อเกิน 1 แสนรายชื่อ ก็จะยื่นให้เปิดสภาผู้แทนราษฎรเพื่ออภิปรายในประเด็นนี้ได้ ซึ่งประชาชนชาวอังกฤษมากกว่า 1 ล้านคนได้ร่วมลงชื่อจน Website รัฐสภาล่มชั่วคราวรวมทั้งผู้เรียกร้องให้อังกฤษอยู่ใน EU ต่อขอใช้ข้อบังคับทางกฎหมายที่ระบุว่าถ้าคะแนนโหวตให้อยู่หรือออกต่ำกว่า 60% (ครั้งนี้โหวตให้ออก 51.9% ซึ่งต่ำกว่า 60%) และมีผู้ออกมาใช้สิทธิไม่ถึง 75% (โดยครั้งนี้อยู่ที่ 72.5%) สามารถที่จะทำประชามติรอบ 2 ได้
- สหรัฐ : ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทุนพ.ค.และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมิ.ย.ลดลงเกินคาด
ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ดิ่งลงมากกว่าคาดในเดือนพ.ค. โดยร่วงลง 2.2% หลังจากเพิ่มขึ้น 3.3% ในเดือนเม.ย. ด้านดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 93.5 ในเดือนมิ.ย. จาก 94.7 ในเดือนพ.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 94.0
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ร่วงหนัก
ดัชนี DJIA ปิดที่ 17,400.75 จุด -610.32 จุด หรือ -3.39% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,707.98 จุด -202.06 จุด หรือ -4.12% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,037.41 จุด -75.91 จุด หรือ -3.59% เพราะผิดหวังผลประชามติของสหราชอาณาจักร ที่สะท้อนว่าฝ่ายสนับสนุนให้ออกจากสหภาพยุโรป (EU) ชนะฝ่ายที่ต้องการอยู่ใน EU
- ราคาน้ำมันดิบ : ดิ่งลงราว 5%
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ร่วงลง 2.47 ดอลลาร์ หรือ 4.9% ปิดที่ 47.64 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนส.ค. ร่วง 2.5 ดอลลาร์ หรือ 5.164% ปิดที่ 48.41 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยมาจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐและความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกว่าจะชะลอตัวลงหรือฟื้นตัวช้าเมื่อสหราชอาณาจักรถอนตัวออกจาก EU
+ ราคาทองคำ : พุ่งขึ้นแรง 4.7%
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.59 พุ่งขึ้น 59.30 ดอลลาร์ หรือ 4.69% ปิดที่ 1,322.40 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+กลยุทธ์ลงทุนหลังสหราชอาณาจักรออกจาก EU - เน้นหุ้น Domestic Play
# เราเห็นว่ากิจการที่อิงอุปสงค์ในประเทศ & CLMV ได้รับผลกระทบจำกัด โดยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศยังคงเดินหน้าต่อ การอุปโภคบริโภคขั้นพื้นฐานในชีวิตประจำวันยังเป็นไปตามปกติ แม้ว่าอังกฤษจะออกจาก EU ดังนั้นหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง ค้าปลีกที่เน้นสินค้าจำเป็นขั้นพื้นฐานยังไปได้ดี กลุ่มธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ในข่ายที่น่าสนใจทยอยซื้อสะสมเพื่อลงทุน หุ้นเด่น คือ CK, SCC, TMT, CPALL, CPN, BBL, KBANK, TCAP, JASIF
# ส่วนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับโภคภัณฑ์ ส่งออก (ทั้งสินค้าอุตสาหกรรมและอาหาร) มีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบจากค่าเงินยูโรที่อ่อนลงเทียบกับเงินบาท ซึ่งจะมาในแนวทางขอต่อรองราคาสินค้าที่ซื้อจากไทยให้ลดลง ยังผลให้รายได้และมาร์จิ้นรูปบาทมีโอกาสอ่อนลงได้ และกลุ่มโภคภัณฑ์จะถูกกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะสหภาพยุโรป และญี่ปุ่นรวมทั้งอังกฤษมีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจอาจจะถดถอย ทำให้อุปสงค์น้ำมันและโภคภัณฑ์ต่างๆจะเติบโตอย่างจำกัดลง
# สำหรับหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว คาดว่าจะได้รับผลกระทบแต่ไม่รุนแรง กล่าวคือ มีโอกาสที่จะเติบโตในอัตราที่น้อยลง จากนักท่องเที่ยวยุโรปที่จะกลับไปชะลอตัวอีกครั้งหลังเริ่มฟื้นตัวมาได้ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่คาดว่าการท่องเที่ยวของไทยก็ยังเติบโตได้จากนักท่องเที่ยวเอเชีย โดยเฉพาะจีน ที่ยังขยายตัวเป็นเลขสองหลัก
***ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในบทวิเคราะห์ที่เป็น Hot Issue วันนี้***
+ CPN (ราคาปิด 58.25 บาท ) : มีรายได้ค่าเช่าสม่ำเสมอ และจะมีรายได้ & กำไรคอนโดมาช่วยหนุนด้วย
# บริษัทจะเปิดตัวสาขาที่ 30 คือ เซ็นทรัลพลาซ่า นครศรีธรรมราชอย่างเป็นทางการวันที่ 28 ก.ค.59 นี้ ปัจจุบันมีอัตราการปล่อยเช่าพื้นที่ประมาณ 80% แล้วถือว่าดีมาก มูลค่าโครงการเป็น 1.9 พันล้านบาท มีพื้นที่เช่าทั้งหมด 26,000 ตรม. ซึ่งในปีนี้จะเปิดเชิงพาณิชย์ 1 แห่ง และในปี 60-61 จะเปิด 6 แห่ง โดยปี 61 จะเริ่มมีศูนย์การค้าใหม่ยังต่างประเทศ 1 แห่ง คือที่รัฐสลังงอ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งการเปิดสาขาเพิ่มขึ้นทำให้รายได้และกำไรขยายตัวได้ต่อเนื่อง
# กลุ่มบริษัทกำลังพิจารณาเรื่องเปลี่ยนกองทุน CRNRF ไปเป็น REIT ก็เป็นบวกกับ CPN ซึ่งจะขายสินทรัพย์เข้ากองทุนได้อีก โดย REIT สามารถกู้ได้ 30% ของ NAV ขณะที่ CPNRF กู้ได้ 10% เท่านั้น (โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องแปลงกองทุนฯในไตรมาส 3/59)
# CPN มีอีกธุรกิจที่หนุนกำไรในระยะยาว คือ คอนโดมิเนียม ซึ่งบริษัทได้เปิดไปแล้ว 3 แห่งที่เชียงใหม่ ขอนแก่น และระยอง มีอัตราการขายดีมากที่ 100% 90% และ 80% ตามลำดับ มูลค่าโครงการละประมาณ 1 พันล้านบาท ซึ่งจะเริ่มโอนรับรู้รายได้ปี 61 และในอนาคตจะเปิดขายคอนโดใหม่เพิ่มอีก (วางแผนไว้จะเปิดขายปีละ 3 โครงการ) แนะนำซื้อ ทาง DBSV ให้ราคาพื้นฐาน 70 บาท
+ TCAP (ราคาปิด 34.75 บาท ) : ได้รับผลกระทบจากปัญหาภายนอกจำกัด จ่ายปันผลสูง
# เราชอบ TCAP เนื่องจากธนาคารมีประสิทธิภาพในการดำเนินงานดีขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากมี Synergies จากการเข้าซื้อ SCIB ทำให้ต้นทุนการเงินต่ำลง โอกาสในการทำ Cross Selling Products มีมากขึ้น นอกจากนั้นยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี (นำผลขาดทุนจากการชำระบัญชี SCIB มาใช้ลดภาษีได้ ซึ่งเราคาดว่าจะใช้ได้ถึงปี 2560) สำหรับการเติบโตในระยะสั้นยังไม่มาก เพราะถูกจำกัดจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ชะลอตัวและเศรษฐกิจไทยซบเซา แต่มีแนวโน้มดีในระยะยาว
# ด้าน NPL และ Coverage Ratio ปรับตัวดีขึ้น โดย NPL สิ้นมี.ค.59 ลดลง 4.9%QoQ และ NPL Ratio ลดลงเป็น 2.81% จาก 2.96% ในสิ้นปี 58 สะท้อนการบริหาร NPL ที่มีประสิทธิภาพแม้ว่าสินเชื่อสุทธิจะลดลง ธนาคารตั้งสำรองฯ 1.00% ของสินเชื่อรวม (รวมสำรองพิเศษ) สูงกว่าคาดการณ์ของเราที่ 0.90% ทำให้ Coverage Ratio เพิ่มเป็น 119.4% สิ้นมี.ค.59 จาก 117.2% ในสิ้นปีก่อน
# แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 42 บาท อิงกับ Gordon Growth Model ซึ่งเทียบเท่ากับ P/BV ปี 59 ที่ 0.85 เท่าคาดการณ์เงินปันผลสำหรับปี 59 ไว้ที่ 1.8 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield 5% นับว่าโดดเด่นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์และในกลุ่มหุ้น Big Cap ของตลาดหุ้นไทย
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]