- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 14 June 2016 17:52
- Hits: 1401
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ช่วงนี้ Domestic Play น่าสนใจกว่า'
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยปิดลดลง 7.35 จุด กังวลผลสำรวจที่ระบุว่าสัดส่วนคนอังกฤษอยากให้อังกฤษออกจากการเป็นสมาชิก EU มากกว่าอยู่ต่อ ซึ่งทำให้ตลาดวิตกว่าหากผลประชามติออกมาเป็นอย่างผลสำรวจจริง จะทำให้ตลาดเงินและตลาดทุนผันผวน จึงมีการขายปรับพอร์ตออกมาก่อน ส่วนการประชุมเฟด 14-15 มิ.ย.และประชุมบีโอเจ 15-16 มิ.ย. คาดว่าจะคงนโยบายการเงินไว้อย่างเดิมก่อน แล้วค่อยไปว่ากันอีกทีในการประชุมปลายเดือนก.ค.59 นักลงทุนสถาบันในประเทศนำขายสุทธิ 3.1 พันล้านบาท รายย่อยนำซื้อสุทธิ 3.6พันล้านบาท ส่วนต่างชาติและพอร์ตบล.ซื้อ-ขายสุทธิไม่มาก
ในระยะสั้นมาก นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายเพราะมีความไม่แน่นอนโดยฉพาะเรื่องระยะเวลาในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ (รอฟังถ้อยแถลงหลังประชุม 14-15 มิ.ย.) และผลการทำประชามติว่าอังกฤษจะออกจาก EU (Brexit) หรือไม่ (ทำประชามติ 23 มิ.ย.) และความผันผวนของราคาน้ำมันดิบเมื่อปรับขึ้นมาถึงระดับ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล อย่างไรก็ตาม มองว่าการอ่อนตัวของตลาดเพราะปัจจัย Global ป็นจังหวะซื้อเก็งกำไร/ทยอยซื้อสะสมหุ้น Domestic ที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกจำกัด และยังมีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตดีทั้งในปี 59-60 หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น CPN
สำหรับ AAV ที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ไปเป็นกลุ่มนายวิชัย (เจ้าของคิงเพาเวอร์) โดยซื้อมาที่ราคา 4.20 บาท/หุ้น (ต่ำกว่าราคาปิดเมื่อวาน 30% และต่ำกว่าราคาพื้นฐาน DBSV 41%) ก็ต้องติดตามว่าราคาเทนเดอร์ฯจะเป็นราคาเดียวกันหรือไม่
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบต่อ การรีบาวด์มีแนวต้านระยะสั้น 1430-1440, 1450 จุด แนวตัดขาดทุน คือ ค่าลบ แนวรับให้ไว้ที่1380, 1360-1350 จุด กลยุทธ์ ซื้อเก็งกำไร/ถือต่อเน้นเป็นค่าบวก หากอ่อนตัวต่อให้รอซื้อที่แนวรับ
การ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีและมีโอกาสปรับขึ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ CBG, CHG, TMT ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ RATCH,EASTW, RML, AP, BCH, FSMART, KBS, GLOBAL, PLAT, BJC หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit -ไม่มี- หุ้นที่หลุด List เป็น CENTEL, TKS, RS
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
• สหรัฐ : เฟดประชุม 14-15 มิ.ย.นี้คณะกรรมการ FOMC จะประชุมกัน 14-15 มิ.ย.นี้ ซึ่งตลาดคาดว่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่เดิม 0.50% จับตาถ้อยแถลงหลังประชุมเพื่อ ที่จะจับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในระยะต่อไป ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐแล้ว ทาง DBS Group Research ประเมินว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ค่อนข้างแน่นอน และมีโอกาสที่จะปรับขึ้น 3 ครั้งมากขึ้น
• ญี่ปุ่น : BOJ ประชุม 15-16 มิ.ย.59ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะมีการประชุมวันที่ 15-16 มิ.ย.นี้ ผลสำรวจรอยเตอร์ระบุว่าคณะกรรมการจะคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินไว้ที่เดิมก่อน (อัตราดอกเบี้ยติดลบที่ -0.1% เพิ่มฐานเงิน 80 ล้านล้านเยนต่อปี) แต่มีโอกาสที่จะผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติมในการประชุมวันที่ 28-29 ก.ค.59 เพื่อให้เงินเยนไม่แข็งค่ามากเกินไป และหนุนการค้าระหว่างประเทศทั้งนี้เงินเยนแข็งค่าขึ้นราว 11%YTD เมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ
• อังกฤษ : ติดตามผลการลงประชามติ 23 มิ.ย.นี้ว่าจะถอนตัวจาก EU หรือไม่...เงินปอนด์อ่อนเพราะกังวลชาวอังกฤษจะลงประชามติเกี่ยวกับการถอนตัว/ไม่ถอนตัวจาก EU ในวันที่ 23 มิ.ย. นี้ แต่หลายประเทศรวมถึงเยอรมนีออกมาหนุนให้อยู่ใน EU ต่อ เช่นเดียวกับนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษเตือนว่า ถ้าอังกฤษถอนตัวออกจากEU จะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนสูงอยู่ที่ราว 4,300 ปอนด์ (6,200 ดอลลาร์) และปัญหาการอพยพเข้าเมืองของคนต่างถิ่นซึ่งเป็นปัญหาใหญ่จะไม่สามารถแก้ไขได้
ค่าเงินปอนด์แกว่งตัว โดยอ่อนลงก่อนในช่วงนี้เพราะความกังวลกับผลสำรวจครั้งหลังๆ ที่ออกมาว่าสัดส่วนประชาชนอังกฤษอยากให้ออกจาก EU มากกว่าอยู่ต่อ แต่หากผลประชามติ 23 มิ.ย.59 ออกมาว่าประชาชนส่วนใหญ่หนุนให้อังกฤษอยู่ใน EU ต่อ ค่าเงินปอนด์ก็จะแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว ในทางตรงกันข้ามเกิดผลเป็นให้ออกเป็นส่วนใหญ่ ค่าเงินก็มีสิทธิอ่อนลงอีก รวมถึงตลาดหุ้นอังกฤษและยุโรปก็มีโอกาสร่วงต่อด้วยเช่นกัน
ดัชนี DJIA ปิดลดลง 132.86 จุด หรือ -0.74% ดัชนี NASDAQ ปิดลดลง 46.11 จุด หรือ -0.94% ดัชนี S&P500 ปิดลดลง17.01 จุด หรือ -0.81% และการซื้อขายเป็นไปอย่างซบเซา เพราะนักลงทุนระมัดระวังก่อนการประชุมเฟด 14-15 มิ.ย.59& การทำประชามติของประชาชนอังกฤษว่าจะถอนตัวออกจาก EU หรือไม่ในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ (ผลสำรวจที่ออกมาครั้งหลังๆระบุว่าสัดส่วนประชาชนที่หนุนให้ออกจาก EU มีมากกว่าให้อยู่ต่อ อย่างไรก็ตาม ก็มีหลายครั้งที่ผลสำรวจไม่ตรงกับผลที่ออกมาจริง เพราะกลุ่มตัวอย่างที่สำรวจมีจำนวนและความหลากหลายน้อยเกินไป
• ราคาน้ำมันดิบลดลงเล็กน้อยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 19 เซนต์ ปิดที่ 48.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 19 เซนต์ ปิดที่ 50.35 ดอลลาร์/บาร์เรล กลับมากังวลภาวะอุปทานล้นเกิน หลังมีรายงานว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ปิดไปเริ่มกลับมาเปิดดำเนินการ อิหร่านจะผลิตน้ำมันดิบเพิ่ม และรอเวลาไนจีเรียกลับมาผลิตน้ำมันดิบหลังถูกโจมตีท่อส่งน้ำมันไปเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน
+ ราคาทองคำปรับขึ้นต่อในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 11 ดอลลาร์ หรือ +0.86% ปิดที่ระดับ1,286.90 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากมีความไม่แน่นนอนทั้งเรื่องระยะเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ และผลการทำประชามติของอังกฤษเรื่อง Brexit
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
• AAV (ราคาปิด 6.00 บาท, ราคาพื้นฐาน 7.15 บาท) : เปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นกลุ่มคิงเพาเวอร์กลุ่มนายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ขายหุ้น AAV จำนวน 1,891.58 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 39% ของหุ้นเรียกชำระแล้วทั้งหมดในราคาหุ้นละ 4.20 บาทให้กับนายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ รวมเป็นเงินในการซื้อขาย7.94 พันล้านบาท หลังการขายกลุ่มฯจะเหลือสัดส่วนถือหุ้น 5% หลังจากนี้นายวิชัยต้องทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เราเห็นว่าการเข้ามาของกลุ่มนายวิชัยน่าจะเป็นผลดีกับ AAV เพราะเป็นกลุ่มที่มีฐานทุนแข็งแกร่ง แต่ราคาที่ซื้อขายหุ้นที่ 4.20 บาทนั้นต่ำกว่าราคาตลาดอย่างมีนัยสำคัญ (มีส่วนลด 30% จากราคาปิดเมื่อวานนี้ และต่ำกว่าราคาพื้นฐานที่ DBSV ประเมินไว้ที่ 7.15 บาทอยู่ 41%) เรากำลังติดตามว่าราคาเทนเดอร์ฯ จะเป็นราคาเดียวกันกับที่ซื้อขายกันที่ 4.20 บาทหรือไม่ ซึ่งหากเป็นราคาเดียวกันก็แนะนำว่าไม่ควรขายเทนเดอร์ฯ และหากราคาหุ้นอ่อนตัวลงมากก็เป็นจังหวะซื้อ
สำหรับ ผลประกอบการไตรมาส 1/59 บริษัทมี Core Profit 1.01 พันล้านบาท เติบโต 68%YoY โดยจำนวนผู้โดยสารเติบโต18%YoY สำหรับทั้งปี 59 คาดว่ากำไรสุทธิจะขยายตัว 71% เนื่องจากต้นทุนน้ำมันลดลง และจำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินเพิ่มขึ้น สำหรับเป้าหมายปีนี้คือ จำนวนผู้โดยสารเพิ่มเป็น 16.9 ล้านคน (+14%) Load Factor อยู่ในระดับ 82%ทั้งนี้บริษัทได้ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงที่ NOK มีปัญหานักบิน บริษัทมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยมีสัดส่วนหนี้สินสุทธต่อทุน 0.1 เท่า ในทางปัจจัยพื้นฐานแนะนำซื้อ โดยให้ราคาพื้นฐาน 7.15 บาท เทียบเท่ากับ P/E ปี 59 ที่18.8 เท่าและ P/BV 1.6 เท่า
• กลุ่มประมงไทย : EU มองว่าไทยแก้ปัญหาประมงฯถูกทางแล้ว ให้เวลาต่อถึงสิ้นปี 59...ทยอยซื้อ TUEU ให้เวลาไทยแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมายถูกทางแล้ว แต่ยังทำไม่หมด ซึ่งให้เวลาไทยถึงสิ้นปี 59 โดยขณะนี้ไทยยังได้ใบเหลืองจากทาง EU ต่อไป
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เราให้น้ำหนักเป็นกลางกับประเด็นนี้ เพราะเห็นว่าในปัจจุบันไทยก็ถือใบเหลืองอยู่แล้ว ถ้าหาก EU ไม่ได้ประกาศถึงขั้นห้ามนำเข้าสินค้าประมงจากไทยก็ไม่น่ากระทบมาก (แต่ถ้าประกาศอย่างนั้นก็จะกระทบมาก ควรลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอาหารทะเลส่งออกไปก่อน) สำหรับผลกระทบต่อ TU ถ้ายังเป็นใบเหลืองอยู่ก็จะจำกัดเช่นกัน เนื่องด้วยบริษัทยังมีแนวโน้มผลประกอบการดี โดยในไตรมาส 1/59 มี Core Profitเติบโตเกือบเท่าตัวเป็น 967 ล้านบาท เพราะมีการทำงบการเงินรวมกับ Rugen Fisch ตั้งแต่ก.พ.59 อัตรากำไรสูงขึ้นจากต้นทุนทูน่าในสต็อกต่ำ ค่าใช้จ่ายการเงินต่ำลงหลังชำระคืนหนี้บางส่วน และเงินบาทอ่อนค่าในไตรมาสนี้ แต่เทียบ QoQแล้วหดตัว 27% เพราะปัจจัยฤดูกาล แนวโน้มไปได้ดี ราคาทูน่ายังคงสูงได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยการห้ามใช้อุปกรณ์จับปลา (FAD) ระหว่างก.ค.-ต.ค.ก็เป็นปัจจัยหนุนราคาทูน่าด้วย ซึ่งราคาที่ดีเป็นบวกกับธุรกิจ OEM ทูน่าของบริษัท ทางDBSV คาดการณ์ว่า Core Profit ของ TU ปีนี้จะเติบโตได้ 26% โดยเป็นการเติบโตจากธุรกิจที่มีอยู่และการเข้าซื้อกิจการแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐานอยู่ระหว่างปรับปรุง
+ CPN (ราคาปิด 55.50 บาท, ราคาพื้นฐาน 70 บาท) : ขยายการลงทุนและสาขาต่อเนื่องบริษัทจะเปิดตัวสาขาที่ 30 คือ เซ็นทรัลพลาซ่า นครศรีธรรมราชอย่างเป็นทางการวันที่ 28 ก.ค.59 นี้ ปัจจุบันมีอัตราการปล่อยเช่าพื้นที่ประมาณ 80% แล้วถือว่าดีมาก มูลค่าโครงการเป็น 1.9 พันล้านบาท มีพื้นที่เช่าทั้งหมด 26,000 ตรม. ซึ่งในปีนี้จะเปิดเชิงพาณิชย์ 1 แห่ง และในปี 60-61 จะเปิด 6 แห่ง โดยปี 61 จะเริ่มมีศูนย์การค้าใหม่ยังต่างประเทศ 1 แห่ง คือที่รัฐสลังงอ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งการเปิดสาขาเพิ่มขึ้นทำให้รายได้และกำไรขยายตัวได้ต่อเนื่อง
กลุ่มบริษัทกำลังพิจารณาเรื่องเปลี่ยนกองทุน CRNRF ไปเป็น REIT ก็เป็นบวกกับ CPN ซึ่งจะขายสินทรัพย์เข้ากองทุนได้อีก โดย REIT สามารถกู้ได้ 30% ของ NAV ขณะที่ CPNRF กู้ได้ 10% เท่านั้น (โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องแปลงกองทุนฯในไตรมาส 3/59)
CPN มีอีกธุรกิจที่หนุนกำไรในระยะยาว คือ คอนโดมิเนียม ซึ่งบริษัทได้เปิดไปแล้ว 3 แห่งที่เชียงใหม่ ขอนแก่น และ ระยองมีอัตราการขายดีมากที่ 100% 90% และ 80% ตามลำดับ มูลค่าโครงการละประมาณ 1 พันล้านบาท ซึ่งจะเริ่มโอนรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 61 เป็นต้นไป และในอนาคตจะเปิดขายคอนโดใหม่เพิ่มอีก (วางแผนไว้จะเปิดขายปีละ 3 โครงการ) แนะนำซื้อ ทาง DBSV ให้ราคาพื้นฐาน 70 บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]