- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 13 June 2016 17:02
- Hits: 779
บล.เอเชีย เวลท์ : Daily Market Outlook
เต็มไปด้วยเหตุการณ์สำคัญที่ต้องจับตา
คาดหุ้นไทยปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับหุ้นโลกวันนี้ นักลงทุนน่าจะอยู่ในภาวะระมัดระวัง ก่อนชาวอังกฤษลงประชามติออกจากสหภาพยุโรปในวันที่ 23 มิ.ย. นี้ หลังจากผลสำรวจล่าสุดบ่งชี้ว่าคนอังกฤษอยากออกมากกว่าอยากอยู่ในสหภาพยุโรปเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้นักลงทุนยังจะจับตาการประชุมของ 3 ธนาคารกลางสำคัญของโลกในสัปดาห์นี้ คือ Fed BOE และ BOJ แม้คนส่วนใหญ่จะคาดว่าทั้ง 3 ธนาคารจะไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายในขณะนี้ก็ตาม ปัจจัยภายในประเทศส่วนใหญ่วันนี้เป็นเรื่องความคืบหน้าของนโยบายหรือมาตรการของรัฐบาลที่จะกระตุ้นหรือเสริมสร้างเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งน่าจะเริ่มเห็นผลชัดเจนในครึ่งหลังของปีนี้ แต่น่าจะมีผลน้อยต่อการลงทุนในระยะสั้น
หุ้นเด่นวันนี้ : CK (Bt26.75; BUY, AWS TP Bt32.50)
CK ไม่เป็นแต่เพียงบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำที่มีกำไรที่แข็งแกร่งมากในปีนี้เท่านั้น แต่ CK มีการลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ผ่านการถือหุ้นใหญ่ในบริษัทจดทะเบียน ได้แก่ BEM, CKP และ TTW โดยกิจการรับเหมาก่อสร้างในปีนี้ CK จะได้รับงานเพิ่มขึ้นจากโครงการเดิม คือเขื่อนไซยะบุรี ประเทศลาว เป็นมูลค่าเพิ่มอีก 19,400 ล้านบาท รวมทั้งมีงานอื่นเพิ่มเข้ามาอีกราว 3,000 ล้านบาท ส่งผลให้งานในมือเพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นไตรมาส 1/59 ที่ 77,600 ล้านบาท เป็นราว 100,000 ล้านบาท ขณะที่รายได้ในปี 2559 นี้จะเพิ่มขึ้น 35%YoY เป็น 47,000 ล้านบาท จาก 35,000 ล้านบาท แต่ในปี 2560 ยอดขายอาจจะลดลง 3.6%YoY เป็น 45,000 ล้านบาท เพราะมีงานไซยะบุรีเหลือทำต่อไม่มาก กำไรปกติจากการดำเนินงานในปี 2559 คาดว่าเพิ่มขึ้น 1,044% เป็น 2,079 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นอีก 3.8%YoY เป็น 2,157 ล้านบาท จึงถือว่า CK กำลังสร้างฐานกำไรใหม่ในระดับ 2,000 ล้านบาทนับจากปีนี้เป็นต้นไป
นอกจากนี้ งานภาครัฐที่คาดว่าจะทยอยเปิดประมูลในช่วง 2H59 เป็นต้นไป เช่นงานรถไฟฟ้าสายสีส้ม เหลือง และชมพู รวมถึงงานประมูลสนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 รถไฟรางคู่ มอเตอร์เวย์ จะทำให้ CK น่าจะมีส่วนได้งานอยู่ราว 8-10% หรือ 150,000-200,000 ล้านบาท ทางด้านการลงทุน CK ซึ่งถือหุ้น BEM 28.2%, CKP 32.25% และ TTW 19.4% จะสร้างมูลค่าให้แก่ CK รวม 26.80 บาท ซึ่งเมื่อรวมกับมูลค่ากิจการรับเหมาก่อสร้าง 25.20 บาท (DCF 8 ปี, WACC 7%) และหักภาระหนี้สุทธิออกไป 19.50 บาท จะทำให้ CK มีมูลค่าเหมาะสมเท่ากับ 32.50 บาท เราแนะนำซื้อ มุมมองทางด้านเทคนิค Price Pattern ของ CK มีความแข็งแกร่งทั้งในระยะสั้นและระยะกลางจากการเกิดทั้ง Daily & Weekly Buy Signal ซึ่งรอเพียงการปิดตลาดรายเดือนให้กลับมาเกิด Monthly Buy Signal ครั้งใหม่เท่านั้น ก็จะทำให้ Price Pattern ของ CK เปลี่ยนแนวโน้มหลักจากแนวโน้มขาลง (Downtrend) ไปสู่แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) ทันที ทั้งนี้หาก Price Pattern ของ CK สามารถปิดตลาดรายเดือนได้เหนือ 29 บาท ก็จะทำให้กลับมาเกิด Monthly Buy Signal ครั้งใหม่ โดยเมื่อพิจารณา Price Pattern ของ CK แล้วคาดว่าจะได้เห็นการทำ New High ครั้งใหม่ โดยมีเป้าหมายแรกของการทำ New High อยู่ที่ 32.25 บาท ขณะที่จุด Stop Loss ระยะสั้นของ CK อยู่ที่ 24.10 บาท (Resistance: 27.00, 27.25, 27.50; Support: 26.50, 26.25, 26.00)
ปัจจัยสำคัญ
ประเด็นในประเทศ :
เริ่มใช้กองทุนรัฐ ก.ค.นี้ รองนายกฯ สมคิดกล่าวว่า ก.คลังกำลังหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างกฎหมายจัดตั้งกองทุนสองกอง ได้แก่ ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ 1 แสน ลบ. และกองทุนสร้างความสามารถในการแข่งขันอีก 1 หมื่น ลบ. โดยน่าจะเปิดตัวได้ในเดือนหน้า ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์มุ่งเสริมสร้างการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานในขณะที่อีกกองทุนมุ่งลงทุนในธุรกิจเริ่มใหม่และธุรกิจนวัตกรรม (Bangkok Post)
โครงการเมกะโปรเจกต์น่าจะคืบหน้าตามแผน รองนายกฯ สมคิดกล่าวว่าทุกกรมของกระทรวงให้คำมั่นว่าจะพยายามมากขึ้นในการให้โครงการสำเร็จตามกำหนด การก่อสร้างมอเตอร์เวย์พัทยา-มาบตาพุดอยู่ระหว่างดำเนินการขณะที่การประมูลสัญญาก่อสร้างรถไฟฟ้าสามโครงการ (สายสีชมพู สายสีเหลืองและสายสีส้ม) มูลค่า 2.12 แสน ลบ.จะเกิดขึ้นเดือนนี้ (Bangkok Post)
มองหามาตรการอัดฉีดเงินสู่ต่างจังหวัดรอบใหม่ รองนายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กล่าวว่ารัฐบาลกำลังให้บริษัทเอกชนและหน่วยงานรัฐบาลร่วมกันหามาตรการใหม่ที่จะกระตุ้นและสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เช่นเดียวกับโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ โดยได้สอบถามไปยังคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ถึงสิทธิประโยชน์และช่องทางที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในต่างจังหวัดเพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่จะพัฒนาสินค้าเหล่านั้น (Bangkok Post)
จับตาการเติบโตของการส่งออกใน CLMV รมว. กระทรวงพาณิชย์ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ กล่าวว่ารัฐบาลได้มองหาตลาดในประเทศกัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์, และเวียดนาม เพื่อทดแทนการลดลงของการขนส่งทางเรือในตลาดหลัก โดยไทยคาดหวังการส่งออกไปยังประเทศเหล่านี้จะมีสัดส่วนถึง 13.6% ในปีนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 10.4% ของ ของการส่งออกทั้งหมด (Bangkok Post)
THCOM (26 บาท, ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 49 บาท) อาจเสี่ยงถูกเก็บค่าธรรมเนียมจากกระทรวงไอซีทีสำหรับการดำเนินการยื่นไฟล์ลิ่งต่อสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) เจ้าหน้าที่ที่ไม่เปิดเผยชื่อกล่าว (Bangkok Post) ความเห็น: เป็นแนวโน้มเชิงลบแก่ไทยคม แต่ขนาดและรายละเอียดยังไม่อาจทราบได้
ต่างประเทศ
เหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ในสัปดาห์นี้ ตลาดกำลังจับตาดูอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับการลงประชามติของอังกฤษว่าจะออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) หรือไม่ในวันที่ 23 มิ.ย. เฟดจะจัดงานประชุมนโยบายเป็นเวลา 2 วันสิ้นสุดในวันพุธซึ่งตลาดมองว่าจะไม่มีการดำเนินการใด ๆ ทั้งนี้ แถลงการณ์และการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนของนางเยลเลน ประธานเฟดจะกำหนดทิศทางของเฟดในช่วงเวลาที่เหลือในปีนี้และในเวลาถัดไป นอกจากนี้ การประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) 2 วันสิ้นสุดในวันพฤหัสซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนมากคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เช่นเดิม แต่เจ้าหน้าที่อาวุโสของ BOJ บางรายระบุว่าพวกเขาพร้อมดำเนินการเพิ่มเติม BOJ อาจทำความประหลาดใจโดยผ่อนคลายนโยบายทางการเงินมากขึ้นหรืออย่างน้อยส่งสัญญาณว่าจะมีการดำเนินการในเดือนก.ค. ธนาคารอังกฤษจะจัดการประชุมในวันพฤหัสแต่คาดว่าจะไม่มีการดำเนินการใด ๆ ก่อนการลงประชามติ Brexit (Reuters)
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือนเมื่อวันศุกร์ เนื่องจากผลตอบแทนตราสารหนี้ของยุโรปร่วงลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรปและการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ราคาพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้น 12/32 ผลตอบแทนอยู่ที่ 1.639% หลังจากก่อนหน้านี้ลดลงอยู่ที่ 1.627% ต่ำสุดนับแต่วันที่ 11 ก.พ. (Reuters)
ดอลลาร์สหรัฐ เงินเยนและสวิสฟรังก์ต่างแข็งค่าเมื่อวันศุกร์ เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับ Brexit และความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ก่อให้เกิดความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำรอบใหม่ สวิสฟรังก์แตะระดับสูงสุดในรอบ 8 สัปดาห์เทียบกับเงินยูโรอยู่ที่ 1.0845 ฟรังก์ต่อยูโร และปิดเพิ่มขึ้น 0.5% ที่ 1.0850 ฟรังก์ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปิดเพิ่มขึ้น 0.3% ที่ 94.265 จุด (Reuters)
สหรัฐ :
ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงเมื่อวันศุกร์ ตามราคาน้ำมันที่ร่วงลง ความกังวลเกี่ยวกับ Brexit และความกังวลที่กลับมาอีกครั้งเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก ก่อนการลงประชามติในวันที่ 23 มิ.ย. ว่าอังกฤษจะยังอยู่ในสหภาพยุโรปต่อไปหรือไม่ มีผลสำรวจล่าสุดที่แสดงว่าผู้ที่เห็นชอบให้อังกฤษออกจากสหภาพยุโรปมีจำนวนมากกว่าผู้ที่ต้องการให้อังกฤษอยู่ในสหภาพยุโรปต่อไป นักลงทุนกำลังรอการประชุมเฟดแม้ว่าจะคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยก็ตาม (Reuters)
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐน้อยกว่าที่คาดในต้นเดือนมิ.ย. เนื่องจากมุมมองต่อสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันที่เปลี่ยนไปอย่างไม่คาดคิด จากผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนเมื่อวันศุกร์ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นในเดือนมิ.ย. อยู่ที่ระดับ 94.3 ลดลงจากระดับ 94.7 ในเดือนพ.ค. และต่างจากคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 94.0 (Reuters)
ยุโรป :
ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันศุกร์ปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ ภายใต้ภาวะความกังวลของตลาดต่อสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่อังกฤษจะออกจากกลุ่มยูโรโซน โดยข้อมูลของบริษัทรับพนันล่าสุดแสดงให้เห็นถึงโอกาสที่จะอยู่ในกลุ่ม EU ต่อไปมีสูงมากกว่า อย่างไรก็ตามโพลล์สำรวจยังคงชี้ให้เห็นว่ามีโอกาสเท่าเท่ากัน ขณะที่หุ้นสายการบิน Lufthansa ปรับตัวลดลงหลังมีข่าวว่า CFO คนปัจจุบันเตรียมที่จะลงจากตำแหน่ง (Reuters)
เอเชีย :
ความเชื่อมั่นผู้ผลิตขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น แย่ลงเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน ในไตรมาส 2/59 เนื่องจากค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น แต่บริษัทได้มีการปรับแผนการใช้จ่ายเงินทุน (Capital expenditure) ของพวกเขาเพิ่มขึ้น ธุรกิจขนาดใหญ่คาดหวังว่าความเชื่อมั่นจะฟื้นตัวใน 3/59 ดัชนีการสำรวจธุรกิจ (Business servey index หรือ BSI) มีค่าติดลบ 11.1 ใน ไตรมาส 2/59 เทียบกับ ติดลบ 7.9 ในไตรมาส 1/59 อย่างไรก็ตาม ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นผู้ผลิตขนาดใหญ่ ช่วงสามเดือนข้างหน้า มีค่าบวก 7.0 เมื่อเทียบกับ ก่อนหน้านี้ บวก 7.1 (Reuters)
จีนจะเผยแพร่ข้อมูลภาคเศรษฐกิจสำคัญ วันนี้: สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน รายงานว่าจะเผยแพร่ข้อมูลเครื่องชี้วัดกิจกรรมในเดือนพฤษภาคม ในวันนี้ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม , ยอดขายปลีก การลงทุนในสินทรัพย์ รวมถึงผลผลิตภาคพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ สำหรับเดือนพฤษภาคม และข้อมูลการลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์ ม.ค.-พ.ค. ในเดือนพฤษภาคม (Reuters)
MSCI เตรียมตัดสินใจ ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ว่าจะรวมหุ้นที่จดทะเบียนใน "A" shares ของจีนแผ่นดินใหญ่ เข้ามารวมในดัชนีหุ้นตลาดเกิดใหม่หรือไม่ โดยในปีที่ผ่านมา MSCI เลื่อนกำหนดการนี้ออกไป เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลสำหรับชาวต่างชาติ สภาพคล่อง และความมีวุฒิภาวะ (Maturity) ของตลาดหุ้นจีน (Reuters)
สินค้าโภคภัณฑ์ :
ราคาทองคำดีดกลับสู่จุดสูงสุดรอบ 3 สัปดาห์ใหม่ในวันศุกร์ หนุนโดยความกลัวเสี่ยงของนักลงทุนทำให้ความต้องการทองมีเพิ่มขึ้น ผลักดันให้ทองบวกเป็นสัปดาห์ที่สอง ราคาทองคำตลาดจรเพิ่มขึ้นไปถึง 1,277.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สูงสุดนับแต่ 18 พ.ค. และปิดบวก 0.4% อยู่ที่ 1,273.21 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังจากก่อนหน้านี้เป็นลบไป (Reuters)
ราคาน้ำมันดิบเมื่อวันศุกร์ปรับตัวลดลง 3% กดดันจากตัวเลขแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ ล่าสุดที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน รวมไปถึงการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ฯ โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ล่วงหน้าปรับตัวลดลง 1.41 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล (-2.7%) มาอยู่ที่ 50.54 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ล่วงหน้าปรับตัวลดลง 1.49 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล (-3%) มาอยู่ที่ 49.07 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งนับเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. (Reuters)
Thailand Research Department
Mr. Warut Siwasariyanon (No.17923) Tel: 02 680 5041
Mr. Krit Suwanpibul (No.17968) Tel: 02 680 5090
Mrs. Vajiralux Sanglerdsillapachai (No. 17385) Tel: 02 680 5077
Mr. Narudon Rusme, CFA (No.29737) Tel: 02 680 5056
Mr. Napat Siworapongpun (No.49234) Tel: 02 680 5094
Ms. Sukanya Leelarwerachai (No.68790) Tel: 02 680 5331