- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 09 June 2016 17:09
- Hits: 1854
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ซื้อเล่นรอบ/ถือต่อเมื่อ SET ยืนเหนือ 1430'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้แกว่งตัวแต่ปิดตลาดขยับบวกเล็กน้อย 3.12 จุดที่ 1445.54 แม้ว่าจะมีแรงขายหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์เพราะกังวลเรื่องภาระภาษีของสินทรัพย์ NPA จะเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่ก็ไม่ได้รุนแรงมาก ขณะที่มีแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานต่อเนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิอีก 1.3 พันล้านบาท ขณะที่สถาบันในประเทศขายสุทธิ 1.2 พันล้านบาทกระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม 14-15 มิ.ย.นี้ และแม้กระทั่งการประชุมปลายเดือนก.ค.59 ก็อาจยังไม่ขยับขึ้นด้วย เมื่อพิจารณาจาก Probability ที่จะปรับขึ้นลดลงไปมาก ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง และหนุนตลาดหุ้น & ทองคำ (ตลาดจะไปดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของเดือนมิ.ย.ที่จะรายงานปลายสัปดาห์แรกของเดือนก.ค.อีกครั้งว่าเป็นอย่างไร ซึ่งหากออกมาสูงกว่าคาด ความกังวลเรื่องเฟดขึ้นดอกเบี้ยก็มีโอกาสกลับมากดดันอีกรอบ) นอกจากนั้นราคาน้ำมันดิบที่ขยับขึ้นยืนเหนือ 50 ดอลลาร์ได้ก็ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานด้วย โดยคาดว่ากำไรไตรมาส 2/59 ของกลุ่มจะออกมาดี หุ้นที่ยังมี Upside ใน DBSV Coverage เป็น PTTGC, BPC สำหรับกรณีWorld Bank ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP Growth ของไทยปี 59-60 คาดว่าไม่ได้มีน้ำหนักบวก เพราะเดิมประเมินไว้ต่ำมากที่ 2.0% และ 2.4%จึงปรับขึ้นเป็น 2.5% และ 2.6% ซึ่งก็ยังเป็นตัวเลข Range ต่ำของ Consensus กลยุทธ์ : การลงทุนใหม่บนระดับดัชนีเหนือ 1450 ควรติดตามพอร์ตใกล้ชิดและระมัดระวังมากขึ้น มีหุ้นต้นทุนต่ำอยู่ ยังถือลุ้นต่อได้ หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น CPN
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ แนวต้านระยะสั้น 1450, 1460-1470 จุด แนวตัดขาดทุน คือ ค่าลบ หรือต่ำกว่า 1430จุด กลยุทธ์ ซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวกและไม่ควรหวัง Gap มาก และควรพิจารณา Take Profit หุ้นที่ราคาถึงเป้าหมายแล้วการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีและมีโอกาสปรับขึ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ AP, TKS, RS ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ RATCH,CENTEL, EASTW, ANAN, RML, CPALL, VNG หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ SYNEX, BJC, PACE, TIPCO หุ้นที่หลุด List –ไม่มี-
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- ธนาคารโลกปรับลด World GDP ปีนี้เป็น 2.4% (เดิม 2.9%)ธนาคารโลก (World Bank) ออกรายงานประเมินภาวะเศรษฐกิจโลกรอบครึ่งปี 2559 โดยเปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโต World GDP ปีนี้ลงสู่ระดับ 2.4% ปี 2560 เป็น 2.8% (จากเดิมที่ 2.9% และ 3.1% ตามลำดับ) โดยประเทศที่มีการปรับลดมากคือ สหรัฐ , ญี่ปุ่น เพราะอุปสงค์และการค้าโลกที่ซบเซา รวมถึงเงินทุนเคลื่อนย้ายลดลง ส่วนของไทยปรับเพิ่มเป็น 2.5% สำหรับปี 2559 เพราะเดิมคาดการณ์ไว้ต่ำมากที่ 2.0% ปัจจัยหนุน คือ ดุลการค้าที่ดีขึ้นหลังราคาพลังงานลดลง เพราะไทยเป็นผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิจึงเกินดุลการค้ามากขึ้น
- จีน : ยอดส่งออกเดือนพ.ค.59 หดตัวต่อเป็นเดือนที่ 19ยอดส่งออกของจีนในเดือนพ.ค.ร่วงลง 4.1%YoY สู่ระดับ 1.81 แสนล้านดอลลาร์ (เม.ย.59 -1.8%YoY) ส่วนยอดนำเข้าลดลง 0.4%YoY เป็น 1.31 แสนล้านดอลลาร์ เกินดุลการค้า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ การส่งออกเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเดือนที่ 19 อันเนื่องมาจากการชะลอตัวลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และอุปสงค์ที่อ่อนแอลง
• จีน : เร่งลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเพื่อให้จีดีพีเติบโตได้ 6.8%ธนาคารกลางจีนคงคาดการณ์ GDP ปีนี้ที่ 6.8% ขณะคาดเงินเฟ้อขยายตัวเพิ่มเป็น 2.4% โดยจะเร่งลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเพื่อให้การเติบโตของเศรษฐกิจเป็นไปตามเป้าหมาย โดยปรับเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในปีนี้เพิ่มเป็น 11.0%จาก 10.8% ภาคเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีของจีน คือ ภาคอสังหาริมทรัพย์และสาธารณูปโภค แต่ส่วนที่เติบโตช้ากว่าคาดคือการเกินดุลการค้า
+ ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวก...นำโดยกลุ่มพลังงานดัชนี DJIA ปิด +66.77 จุด หรือ +0.37% ดัชนี NASDAQ ปิด +12.89 จุด หรือ +0.26% ดัชนี S&P500 ปิด +6.99 จุดหรือ +0.33% หนุนโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน ผลิตวัตถุดิบ และกลุ่มสุขภาพ รวมทั้งนักลงทุนค่อนข้างมั่นใจว่าเฟดจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมกลางเดือนมิ.ย.59 นี้
+ ราคาน้ำมันขยับขึ้นสู่ระดับ 51-52 ดอลลาร์/บาร์เรล...สต็อกน้ำมันดิบ US ที่ลดลงช่วยหนุนสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 87 เซนต์ หรือ +1.7% ปิดที่ 51.23 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 1.07 ดอลลาร์ หรือ +2.1% ปิดที่ 52.51 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานล้นตลาดหลัง EIA ระบุว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 3.2 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 532.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนปริมาณการผลิตเพิ่มเล็กน้อยที่ 10,000 บาร์เรล/วันเป็น 8,745,000 บาร์เรล/วันในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งตัวเลขของ EIA สอดคล้องกับ API ที่รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 3.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ด้านไนจีเรียยังคงผลิตน้ำมันดิบลดลง 170,000 บาร์เรล/วันหลังมีเหตุการณ์โจมตีท่อส่งน้ำมันในประเทศ
+ ราคาทองคำพุ่งขึ้น 1.23%สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. พุ่งขึ้น 15.30 ดอลลาร์ หรือ 1.23% ปิดที่1,262.30 ดอลลาร์/ออนซ์ หนุนโดยดัชนีค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลงเมื่อเทียบกับ 6 สกุลหลักของโลก
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ รัฐบาลเร่งผลักดันการลงทุน หนุนการเติบโตของเศรษฐกิจนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าจากนี้ไปจะเร่งรัดการลงทุนรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน ทั้ง PTT และEGAT ซึ่งทั้งสององค์กรมีแผนลงทุนรายละ 2 แสนล้านบาท ด้านการคมนาคมและเศรษฐกิจดิจิตอลจะมีการลงทุนกลุ่มละ5 แสนล้านบาทภายใน 5 ปี โดยจะมี PPP ด้วย สำหรับภาคเอกชน เห็นว่าการลงทุน PPP เป็นเรื่องดีแต่ขอให้รัฐร่าง TORให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงในอนาคต เพราะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ใช้เวลานานในการคืนทุน
+ CPN (ราคาปิด 57.50 บาท, ราคาพื้นฐาน 70 บาท) : ขยายการลงทุนและสาขาต่อเนื่องบริษัทจะเปิดตัวเซ็นทรัลพลาซ่า สาขานครศรีธรรมราช (สาขาที่ 30) อย่างเป็นทางการวันที่ 28 ก.ค.59 นี้ ปัจจุบันมีอัตราการปล่อยเช่าพื้นที่ประมาณ 80% แล้วถือว่าดีมาก มูลค่าโครงการเป็น 1.9 พันล้านบาท มีพื้นที่เช่าทั้งหมด 26,000 ตรม.ซึ่งในปีนี้จะเปิดเชิงพาณิชย์ 1 แห่ง และในปี 60-61 จะเปิด 6 แห่ง โดยปี 61 จะเริ่มมีศูนย์การค้าใหม่ยังต่างประเทศ 1 แห่งคือ ที่รัฐสลังงอ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งการเปิดสาขาเพิ่มขึ้นทำให้รายได้และกำไรขยายตัวได้ต่อเนื่อง
กลุ่มบริษัทกำลังพิจารณาเรื่องเปลี่ยนกองทุน CRNRF ไปเป็น REIT ก็เป็นบวกกับ CPN ซึ่งจะขายสินทรัพย์เข้ากองทุนได้อีก โดย REIT สามารถกู้ได้ 30% ของ NAV ขณะที่ CPNRF กู้ได้ 10% เท่านั้น (โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องแปลงกองทุนฯในไตรมาส 3/59)และอีกธุรกิจที่หนุนกำไรในระยะยาว คือ คอนโดมิเนียม ซึ่งบริษัทได้เปิดไปแล้ว 3 แห่งที่เชียงใหม่ ขอนแก่น และ ระยอง มีอัตราการขายดีมากที่ 100% 90% และ 80% ตามลำดับ มูลค่าโครงการละประมาณ 1 พันล้านบาท ซึ่งจะเริ่มโอนรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 61 เป็นต้นไป และในอนาคตจะเปิดขายคอนโดใหม่เพิ่มอีก (วางแผนไว้จะเปิดขายปีละ 3 โครงการ) แนะนำซื้อ ทาง DBSV ให้ราคาพื้นฐาน 70 บาท
+ BCP (ราคาปิด 30.25 บาท) : กำไรไตรมาส 2/59 ฟื้นตัวเพราะไม่มีปิดซ่อมบำรุง & มีกำไรจากสต็อกแม้ว่าผลประกอบการไตรมาส 1/59 จะออกมากำไรน้อยแต่ก็ดีกว่าที่เราและบริษัทคาดไว้ โดยถ้าไม่รวมขาดทุนจากสต็อกและ FX พบว่า Core profit ดีกว่าเป้าหมายถึง 38% ซึ่งสะท้อนการบริหารห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพรวมทั้งธุรกิจค้าปลีกก็มียอดขายเติบโตดี (+13%YoY) มาร์จิ้นทางการตลาดแข็งแกร่ง
แนวโน้มไตรมาส 2/59 ดีขึ้น เพราะไม่มีการปิดซ่อมบำรุงและมีแผนใช้กำลังการผลิตโรงกลั่นเต็มที่ (ในไตรมาส 1/59 มีปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นไป 45 วัน) BCP มีแผนนำบริษัทย่อย BCPG ที่ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าเข้าจดทะเบียนในตลาดช่วง 2H59(อาจจะเป็นช่วงไตรมาส 4/59) โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิต 282 MW เป็นในไทย 129 MW และที่เหลือส่วนใหญ่เป็นญี่ปุ่นซึ่งโซลาร์ญี่ปุ่นคาดว่าคุ้มทุนที่ระดับการผลิต 50-60 MW ใน 1H60 และ BCPG มีแผนขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 500MW ภายในปี 2563 โดยใช้เงินทุนจากการทำ IPO และกำไรจากการดำเนินงาน
แนะนำซื้อ BCP ให้ราคาพื้นฐาน 39 บาท และคาดการณ์เงินปันผลปีนี้ไว้ที่ 1.90 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend yield 6.3%
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]