- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 09 June 2016 16:48
- Hits: 890
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
คาดมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น? จากการเพิ่มขึ้นของหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะ PTT และ PTTEP ตามราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น โดยล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 49 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สูงสุดในรอบ 8 เดือน อย่างไรก็ตามคาด (+) จากมุมมองที่เป็นบวกของประธานเฟดต่อทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้ตัวเลขการจ้างงานล่าสุดออกมาต่ำกว่าคาด และยังไม่ส่งสัญญาณชัดเจนเกี่ยวกับระยะเวลาที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่เฟดจะมีการประชุมในวันที่ 14 – 15/6/59 ซึ่งส่วนใหญ่คาดเฟดจะยังไม่พิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ โดยนักลงทุนยังคงจับตาการประชุมในเดือน ก.ค. มากกว่า
ส่วนทางด้านประเด็นในประเทศ คาดได้ยังรับปัจจัยบวกจาก Fund Flow ภายใต้แรงซื้อสุทธิต่างชาติ และทำให้ YTD ยอดซื้อสุทธิสะสมเพิ่มต่อเนื่อง เป็นกว่า 26,000 ล้านบาทแล้ว แนะจับตาหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่เอกชนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้น ล่าสุดสหพัฒน์ฯ ระบุเศรษฐกิจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดดีขึ้นตามลำดับ รวมถึงกำลังการซื้อในประเทศ
พร้อมแนะติดตามค่าเงินสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุดอ่อนค่าลงเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ ซึ่งส่งผล (+) ต่อราคาทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่ค่าเงินบาทล่าสุด อยู่ที่ 35.07 – 35.14 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากช่วงก่อนหน้านี้
ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทย คาดดีขึ้นตามลำดับ ล่าสุดกระทรวงการคลังคาด GDP – 2Q/59 เติบโตมากกว่า 3.2% และคาดสูงสุดใน 3Q/59 ที่ 4.0% จากการลงทุนภาครัฐ และคาดทั้งปี’59 เติบโตสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 3.3% ซึ่งคาดยังเป็นปัจจัยหนุนภาพรวมตลาดบ้าง แนะติดตามหุ้นกลุ่ม Domestic Play เช่น ค้าปลีก และรับเหมาก่อสร้าง เป็นต้น
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น เช่น IVL
(2) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น เช่น EPG, SCC และ VNG
(3) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เช่น ANAN, AP และ SPALI
(4) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากงานภาครัฐ เช่น CK, STEC, SEAFCO
SET SET50 SET100
1,445.54 +3.12 923.13 +2.11 2,062.75 +4.34
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+/-) ตลาดหุ้นต่างประเทศ DJIA +66.77, NASDAQ +12.89, S&P +6.99, FTSE +16.99, CAC -27.13 และ DAX -70.65
โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น การการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่มพลังงาน ตามราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงขึ้น จากการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากถ้อยแถลงของประธานเฟด ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป อย่างไรก็ตามมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 14-15 มิ.ย. นี้ หลังจากตัวเลขการจ้างงาน - พ.ค. ออกมาต่ำกว่าการคาดการณ์ โดยนักลงทุนเปลี่ยนไปจับตาการประชุมเฟดในช่วงเดือน ก.ค. มากกว่า
ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ปรับตัวลงจากการลดลงของหุ้นในกลุ่มธนาคาร หลังจากธนาคารโลกปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลงเป็น 2.4% จากที่เคยคาดไว้เมื่อ ม.ค. 2016 ที่ 2.9% จากแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่อ่อนตัวลง
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ก.ค. +US$0.87 อยู่ที่ US$51.23 ต่อบาร์เรล โดยยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากเหตุการณ์โจมตีท่อส่งน้ำมันในประเทศไนจีเรียส่งผลให้การผลิตน้ำมันลดลง 170,000 บาร์เรลต่อวัน และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน ส.ค. +US$14.90 อยู่ที่ US$ 1,262.3ต่อออนซ์ จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง หลังประธานเฟด ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับช่วงเวลาที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
21.99 1.86 3.29
ที่มา: www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย(ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 41,862.06
สถาบัน -1,166.63
บัญชีหลักทรัพย์ 353.72
ต่างประเทศ 1,319.59
ในประเทศ -506.68
(+) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ+1,320 ล้านบาทสะสม YTD
+26,395 ล้านบาท(ปี’57 และ58 ยอดขายสุทธิสะสม36,584 ล้านบาทและ154,346 ล้านบาทตามลำดับ)
ประเด็นที่ต้องติดตาม9 - 10 มิ.ย. 2559
9/6/59 : สหรัฐฯเปิดเผย
ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
สต็อกสินค้าและยอดค้าส่งเดือนเม.ย.
10/6/59 : สหรัฐฯเปิดเผย
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนมิ.ย.
งบประมาณของรัฐบาลกลางเดือนพ.ค.
(5) กลุ่มพลังงานในขณะที่หุ้นหลักอย่างเช่นPTT และPTTEP ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี
(6) กลุ่มค้าปลีกเช่นCPALL, HMPRO และROBINS ที่คาดได้รับประโยชน์หลังรัฐบาลอัดฉีดกำลังซื้อรากหญ้าอย่างต่อเนื่องจากโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเกษตรกร3 โครงการวงเงิน93,000 ล้านบาท
(7) กลุ่มการแพทย์ที่มีการขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง เช่น BDMS
(8) กลุ่มท่องเที่ยวเช่น โรงแรม (MINT, CENTEL, ERW) ที่คาดได้รับประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยล่าสุดสภาพัฒน์ฯ ปรับเพิ่มคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวปี’59 อยู่ที่ 33 ล้านคน จากเดิมที่ 32.5 ล้านคน และคาดรายได้จากการท่องเที่ยว 1.69 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.6%
(9) กลุ่มขนส่งในส่วนของธุรกิจการบินและสนามบิน เช่น AAV, AOT, BA
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ10 ปี-0.01 อยู่ที่1.71% (ระดับสูงสุด3.77% เมื่อกพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง(VIX) +0.03 อยู่ที่14.08
หุ้นแนะนำ: IVL
นักวิเคราะห์: ศักดิ์นรินทร์ศศานนท์ โทร.02-684-8789