- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 08 June 2016 18:20
- Hits: 1712
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'จะลุ้นไปต่อ...SET ไม่ควรหลุด 1420'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : LPN (จากถือ เป็น Fully Valued)ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปิดอ่อนลงเล็กน้อยที่ 1442.42 (-1.00 จุด) โดยนักลงทุนมีการขายทำกำไรสลับออกมาแต่ก็ยังมีแรงซื้อที่ค่อนข้างดี และดัชนีสามารถอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 10 วันได้ ภาพตลาดจึงเป็นแค่การพักฐานและมีโอกาสขยับขึ้นต่อได้ (แต่ถ้าหลุดระดับ 1420 ภาพจะเป็นลบมากขึ้นและมีโอกาสปรับฐานจริง)
สำหรับ ปัจจัยในประเทศ หลักๆ คือ อัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ปรับใหม่และครม.อนุมัติไปเมื่อวานนี้ ซึ่งเราคาดว่าจะส่งผลกระทบในระยะสั้นกับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และธนาคารพาณิชย์ โดยในส่วนของอสังหาฯ ผู้ที่มี Land bank เยอะจะมีภาระภาษีเพิ่ม, การซื้อบ้านหลังที่สองอาจชะลอตัวลง, อัตราค่าเช่ามีโอกาสสูงขึ้น (เจ้าของผลักภาระภาษีไปยังผู้เช่า) แต่ก็มีจุดดีกับผู้ประกอบการที่จะมี Supply ที่ดินออกมามากขึ้น ส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะมีภาระภาษีจากการถือครองในรูป NPA มากขึ้น (ธปท.ให้ถือครอง NPA ในช่วงอยู่ในกระบวนการกฎหมายได้ไม่เกิน 10 ปี)ด้านหุ้นที่คาดว่าจะเข้ามาคำนวณใน SET50 ทาง DBSV ประมาณการไว้ว่าเป็น BEM, GPSC, KCE, SUPER ส่วนที่คาดว่าจะเข้ามาใน SET100ได้แก่ BCH, BIG, GLOBAL, IFEC, JWD, SUPER, TRC, TVO, VIBHA โดยจะมีผลบังคับใช้ในช่วงก.ค.-ธ.ค.59
สำหรับปัจจัยภายนอก ยังเป็นการติดตามผลการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า (14-15 มิ.ย.) ซึ่งดัชนีค่าเงินดอลลาร์ที่ขยับอ่อนลงในช่วง 2 วันทำการที่ผ่านมาบ่งชี้ว่าตลาดประเมินความเป็นไปได้ในการขึ้นดอกเบี้ยไว้ต่ำมาก หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น TIPCO
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ แนวต้านระยะสั้น 1450, 1460-1470 จุด แนวตัดขาดทุน คือ ค่าลบ หรือต่ำกว่า 1420 จุด กลยุทธ์ ซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวกและไม่ควรหวัง Gap มาก และควรพิจารณา Take Profit หุ้นที่ราคาถึงเป้าหมายแล้ว
การ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีและมีโอกาสปรับขึ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ CPALL, PACE, VNG, TIPCO ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือRATCH, CENTEL, SYNEX, EASTW, ANAN, BJC, RML หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ KAMART, BWG หุ้นที่หลุด List –ไม่มี-
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
• ยูโรสแตทปรับเพิ่มประมาณการ GDP งวด 1Q59 เป็น 0.6% (เดิม 0.5%)สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรปหรือยูโรสแตท ได้ประกาศปรับเพิ่มประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)ของยูโรโซนจากเดิม 0.5% เป็น 0.6% ในไตรมาส 1/59 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 12 เดือน
- เยอรมนี : ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนเม.ย.ร่วงลง 2%กระทรวงเศรษฐกิจเยอรมนีเปิดเผยว่ายอดสั่งซื้อภาคโรงงานในเดือนเม.ย.ร่วงลง 2%MoM มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับลงเพียง 0.6%MoM สะท้อนให้เห็นว่าอุปสงค์จากประเทศต่างๆนอกกลุ่มยูโรโซน อ่อนแอลง ทั้งนี้อุปสงค์ในต่างประเทศสำหรับสินค้าที่ผลิตในเยอรมนีร่วงลง 4.3%MoM ในเดือนเม.ย. เนื่องจากยอดสั่งซื้อจากประเทศนอกกลุ่มยูโรโซนดิ่งลง 8.3%
• สหรัฐ : ประสิทธิภาพแรงงานนอกภาคเกษตรลดลงใน 1Q59ประสิทธิภาพการผลิตของแรงงานนอกภาคเกษตรปรับตัวลงในไตรมาส 1/59 สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ส่วนต้นทุนแรงงานต่อหน่วย ซึ่งเป็นมาตรวัดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่สำคัญ เพิ่มขึ้น 4.5% ในไตรมาส 1/59
• ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกเล็กน้อยดัชนี DJIA ปิด +17.95 จุด หรือ +0.10% ดัชนี NASDAQ ปิด -6.96 จุด หรือ -0.14% ดัชนี S&P500 ปิด +2.72 จุด หรือ
+0.13% ปัจจัยหนุน คือ การขยับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ และประธานเฟดยังเชื่อมั่นในการเติบโตและฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ แต่การปรับขึ้นของตลาดจำกัดเพราะหุ้นกลุ่มสุขภาพและธนาคารร่วงลง
+ ราคาน้ำมันดิบบวกขึ้นสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 67 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 50.36 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 89 เซนต์ หรือ 1.8% ปิดที่ 51.44 ดอลลาร์/บาร์เรล เพราะคาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐจะลดลงต่อในสัปดาห์ก่อน และการผลิตน้ำมันในประเทศไนจีเรียลดลง 170,000 บาร์เรล/วัน หลังจากเกิดเหตุการณ์โจมตีท่อน้ำมันในประเทศ
• ราคาทองคำอ่อนลงเล็กน้อยสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 40 เซนต์ หรือ 0.03% ปิดที่ 1,247.00ดอลลาร์/ออนซ์ โดยมีการขายทำกำไรออกมาหลังราคาทองพุ่งขึ้นแรงแต่ไม่มาก เพราะนักลงทุนบางกลุ่มคาดว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมกลางมิ.ย.นี้หรือแม้แต่ปลายก.ค.ก็มีโอกาสความเป็นไปได้น้อยลง
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+/- DBSV คาดการณ์หุ้นที่จะเข้ามาคำนวณใน SET50 และ SET100 (ใช้ในช่วง 1 ก.ค.-31 ธ.ค.59)
# หุ้นที่คาดว่าจะเข้ามาคำนวณใน SET50 ได้แก่ BEM, GPSC, KCE, SUPER ส่วนหุ้นที่ออกจากการคำนวณเป็น ITD,JAS, M, SCCC
# หุ้นที่คาดว่าจะเข้ามาคำนวณใน SET100 ได้แก่ BCH, BIG, GLOBAL, IFEC, JWD, SUPER, TRC, TVO, VIBHAส่วนหุ้นที่ออกจากการคำนวณเป็น ANAN, CKP, M, PLAT, SAMTEL, SCCC, SCN, TICON, UV
ทั้งนี้ การคัดเลือกหุ้นที่เข้ามาคำนวณใน SET50 และ SET100 ให้น้ำหนักกับ Market cap และสภาพคล่องในการซื้อขายเป็นสำคัญ ซึ่งนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศมีโอกาสที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่ได้รับการคัดเลือกเข้าไปคำนวณใน SET50 และ SET100 มากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีสิทธิที่จะลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่ถูกถอดออก
สำหรับหุ้นที่ DBSV คาดว่าจะได้เข้ามาคำนวณใน SET50 และ SET100 และเราทำการวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐาน รวมทั้งให้คำแนะนำเป็นซื้อ/ถือลงทุน ประกอบด้วย BEM (ราคาพื้นฐาน 6.4 บาท), KCE (ราคาพื้นฐาน 84 บาท), BIG (ราคาพื้นฐาน 4.50 บาท), GLOBAL (ราคาพื้นฐานอยู่ระหว่างปรับปรุง), TRC (ราคาพื้นฐาน 1.70 บาท)
• ครม.อนุมัติพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามที่กระทรวงการคลังเสนอเมื่อวานนี้ (7 มิ.ย.59) คณะรัฐมนตรีผ่านร่างกฎหมายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยคาดว่าการเรียกเก็บในอัตราใหม่นี้จะทำให้ท้องถิ่นมีรายได้เพิ่ม 6.4 หมื่นล้านบาทและลดความเหลื่อมล้ำ โดยการเรียกเก็บภาษีโครงสร้างใหม่นี้เป็ฯการปรับปรุงการเรียกเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินที่มีอยู่เดิม
ทรัพย์สินที่ได้รับการยกเว้นภาษี คือ สาธารณสมบัติต่างๆ, ทรัพย์สินรัฐที่ไม่ได้ใช้หาประโยชน์, ทรัพย์สินสถานทูต,ทรัพย์สินสภากาชาดไทย, ทรัพย์สินส่วนกลางของอาคารชุดและที่ดินสาธารณูปโภคโครงการจัดสรรที่ไม่ได้ใช้เชิงพาณิชย์และบ้านพักอาศัยหลังแรกที่มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท
สำหรับ ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม อัตราภาษี 0-0.1% (เพดาน 0.2%) บ้านหลังแรกที่เกิน 50 ล้านบาท อัตราภาษี 0.05-0.1%(เก็บส่วนที่เกิน 50 ล้านบาทขึ้นไป) บ้านหลังที่สองอัตรา 0.03-0.30% (อัตราเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ เพดาน 0.5%) ที่ดินพาณิชย์อัตรา 0.3-1.5% ที่ดินว่างเปล่า 1-3% (เพดาน 5%)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : คาดว่าโครงสร้างและอัตราภาษีที่ปรับปรุงใหม่นี้จะทำให้การเก็งกำไรในที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ลดลง และอาจกระทบยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมในระยะสั้น เพราะในปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำมาก ผู้ออมและลงทุนต้องหาผลตอบแทนในรูปแบบอื่น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และคาดว่าอัตราการซื้อเพื่อลงทุนและเก็งกำไรในโครงการคอนโดต่างๆเฉลี่ยอยู่ที่ 10-20% โดยเฉพาะที่อยู่ในทำเลกลางเมืองและติดรถไฟฟ้า BTS & MRT รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ๆที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย ส่วนในระยะยาวมีโอกาสที่อัตราค่าเช่าที่พักอาศัยจะเพิ่มขึ้น เพราะผู้ให้เช่าจะรวมค่าภาษีที่เพิ่มเป็นต้นทุนด้วย
สำหรับ ที่ดินเปล่า คาดว่าจะมีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันมากขึ้น เพราะผู้ถือครองมีภาระภาษีเพิ่ม ซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยที่จะหาที่ดินมาทำโครงการได้ง่ายขึ้นและอาจมีต้นทุนต่ำลงจากความต้องการขายที่สูงขึ้น กลุ่มที่จะกระทบมาก คือ ผู้ที่ได้รับมรดกเป็นที่ดินแต่ไม่มีเงินมาก ซึ่งอาจต้องตัดขายที่ดินเพื่อนำไปชำระภาษีในแต่ละปี (ซึ่งหากที่ดินไม่ได้เป็นแปลงใหญ่มากการตัดขายจะยากเพราะขนาดที่ดินตัดขายไม่จูงใจผู้ซื้อ เช่น ตัดขายยาวเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวก็ไม่มีคนอยากซื้อเพราะทางเข้าออกแคบเกินไป เป็นต้น)
โดยรวมมองว่า จะกระทบกับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์บ้างแต่ไม่ถึงกับรุนแรง เพราะผู้ประกอบการมีทั้งส่วนที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ส่วนแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/59 คาดว่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ดี เพราะในเดือนเม.ย.มีการเร่งโอนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนค่าธรรมเนียมกันอย่างมากเพราะเป็นเดือนสุดท้ายที่มีผลบังคับใช้ของมาตรการ แต่ในเดือนเพ.ค.-มิ.ย.การโอนก็แผ่วลง เราประมาณการว่ากำไรสุทธิของบจ.ในกลุ่มที่เราวิเคราะห์ 12 แห่งจะทรงตัวในปี 59 และเติบโตราว 8% ในปี 60 อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากลุ่มนี้จะมีการเติบโตของกำไรไม่มากในปี 59-60 แต่ก็มี Valuation ต่ำ โดยมีค่าเฉลี่ย P/E ปีนี้เพียง 9 เท่า และลดลงเป็น 8 เท่าในปี 60 รวมทั้งให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) สูงกว่า 5% ทั้งในปี 59 และปี 60 ดังนั้นสำหรับการลงทุนเพื่อเน้นรับปันผลสูงก็น่าสนใจ โดยหุ้นที่มี Dividend Yield ปี 59-60 เฉลี่ยสูง 6%+ ต่อปีเป็น AP, LH, LPN, PS, QH, SC และ SIRI
ส่วนกลุ่มสถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์จะถูกกระทบเพราะมีสินทรัพย์ที่เป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ถือครองไว้ในรูปNPA จำนวนมาก ซึ่งตามเกณฑ์แล้วธปท.ให้ธนาคารถือครองสินทรัพย์เหล่านี้ช่วงอยู่ในกระบวนการฟ้องร้องเป็นเวลาไม่เกิน 10 ปี จากนั้นต้องขายออก ซึ่งอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ปรับใหม่นี้ทำให้ธนาคารมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งกำลังรอดูว่าจะมีการผ่อนปรนสำหรับสถาบันการเงินหรือไม่ อย่างไร นอกจากนั้นถ้ามีการซื้อขายที่พักอาศัยน้อยลง การปล่อยสินเชื่อที่พักอาศัยก็จะชะลอตัวตามไปด้วย
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]