- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 21 July 2014 15:33
- Hits: 2211
บล.เอเซียพลัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
เชื่อว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครน รวมถึงการคว่ำบาตรของสหรัฐ และสหภาพยุโรป ต่อ รัสเซีย น่าจะกดดันตลาดหุ้นโลก ตรงกันข้ามน่าจะหนุนราคาน้ำมันดิบรอบใหม่ จึงยังเลือก PTTEP(FV@B195) เป็น Top pick ราคาหุ้นยัง Laggard มี P/E ต่ำ และ Div Yield สูง
คาดความขัดแย้งในแหล่งผลิตน้ำมันยังกดดันหุ้นโลก
สถานการณ์ความตึงเครียดในยูเครน-รัสเซียยังมีอยู่ โดยเฉพาะหลังจากสายการบินของมาเลเซีย โดนยิงถล่มเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผลทำให้ผู้นำเศรษฐกิจ ทั้งสหรัฐ และยุโรป เพิ่มมาตรการกดดันรัสเซียมากขึ้น จากที่ผ่านมา เน้นไปที่ตัวรายบุคคลที่เป็นผู้นำ และผู้สนับสนุนสำคัญๆ กล่าวคือ สหรัฐเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรด้านการเงิน โดยพุ่งเป้าไปที่บริษัทขนาดใหญ่ของรัสเซีย รวมถึงบริษัทผู้ผลิตน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดของรัสเซีย และสหภาพยุโรป (EU) เพิ่มมาตรการคว่ำบาตร โดยเน้นไปที่สถาบันการเงิน และองค์กรที่ให้การสนับสนุนการเงินต่อรัสเซีย ทั้งนี้ ล่าสุด ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ได้เตรียมประกาศคว่ำบาตรการเงินและเศรษฐกิจต่อรัสเซียอย่างเต็มรูปแบบเพิ่มเติม
ขณะที่รัสเซีย เตรียมจะตอบโต้สหรัฐ โดยจะทำธุรกรรมการเงินโดยใช้เงินสกุลอื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์ และจะทยอยลดการพึ่งพาเศรษฐกิจสหรัฐ จนเหลือศูนย์ (ทั้งนี้เกิดการคาดการณ์ว่า ถ้าหากรัสเซียตอบโต้ โดยการออกกฎหมายพิเศษเพื่อหยุดการชำระหนี้ต่างประเทศให้สหรัฐ ธนาคารในสหรัฐจะสูญเสียเงินถึง 500,000 ล้านเหรียญสหรัฐ)
ทั้งนี้ เชื่อว่าความขัดแย้งที่ขยายตัวดังกล่าว น่าจะกดดันตลาดหุ้นโลกอีกครั้ง แต่ในทางตรงกันข้าม อาจจะหนุนราคาน้ำมันดิบโลกฟื้นตัวรอบใหม่ เนื่องจากรัสเซีย เป็นผู้ส่งออกน้ำรายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก และ การส่งออกน้ำมันไปยุโรปผ่านทางยูเครน ดังนั้นหากรัสเซียตอบโต้สหภาพยุโรป โดยการยุติการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบโลกทันที ในสถานการณ์นี้ เชื่อว่ายังเอื้อประโยชน์ต่อ หุ้นน้ำมันอย่าง PTTEP(FV@B195)
เงินทุนยังไหลเข้าแม้ชะลอตัวลง สวนทางกับสถาบันที่ขายต่อเนื่อง
วันศุกร์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 แต่เบาบางราว 219 ล้านเหรียญฯ (ลดลง 18% จากวันก่อนหน้า) ทั้งนี้เป็นการซื้อลดลงในเกือบทุกประเทศ เริ่มจากเกาหลีใต้ ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 6 ราว 116 ล้านเหรียญฯ โดยลดลงมากถึง 53% จากวันก่อนหน้า ตามมาด้วยอินโดนีเซียซื้อสุทธิเป็นวันที่ 9 ลดลง 10% เหลือราว 41 ล้านเหรียญฯ ส่วนไต้หวันสลับมาซื้อสุทธิอีกครั้งราว 39 ล้านเหรียญฯ และ ไทยยังคงซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 9 ราว 25 ล้านเหรียญฯ (797 ล้านบาท, ลดลง 57% จากวันก่อนหน้า) สวนทางกับฟิลิปปินส์ที่ยังขายสุทธิเบาบางเป็นวันที่ 2 ราว 1 ล้านเหรียญฯ (ยอดขายลดลง 72% จากวันก่อนหน้า)
ทั้งนี้แม้ว่านักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่กลับมีแรงขายกดดันดัชนีจากนักลงทุนสถาบันที่ศุกร์ที่ผ่านมาขายสุทธิออกมากว่า 4.0 พันล้านบาท โดยเป็นการขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 รวม 8.3 พันล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่ายังคงมีแรงขายหลงเหลืออยู่จากนักลงทุนกลุ่มนี้ หลังจากที่เป็นผู้ซื้อสุทธิมาพยุงดัชนีมาอย่างยาวนาน โดยมียอดซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปีราว 3.5 หมื่นล้านบาท
เลื่อนประมูล 4G กดดันระยะสั้นเท่านั้น ราคาหุ้น ADVANC ตอบรับข่าวร้ายมากไป
ในที่สุดการประมูลคลื่น 1,800 และ 900 เพื่อใช้กับโครงข่าย 4G ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้หรืออย่างช้าในต้นปี 2558 เป็นอันต้องเลื่อนไปจากคำสั่งของ คสช. ออกไป 1 ปี (ซึ่งน่าจะเป็นช่วง ก.ค. 2558 เนื่องจากคลื่นความถี่ 900 ของ ADVANC และ 1800 ของ TRUE กำลังจะครบกำหนด 15 ก.ย. 2557 และ 2558 ตามลำดับ) ซึ่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการทั้ง 3 รายน่าจะไม่มากนัก ยกเว้น ADVANC (FV@B270) น่าจะกระทบมากที่สุด เพราะ ADVANC เป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่ยังไม่ได้ให้บริการ 4G เพราะคลื่นความถี่ที่มีอยู่ (900 และ 2100) ได้ให้บริการลูกค้า 3G เป็นส่วนใหญ่ และถือว่าเต็มที่แล้ว จึงไม่มีคลื่นความถี่เหลือมาให้บริการ 4G เหมือนกับคู่แข่งขันอีก 2 ราย คือ TRUE และ DTAC ดังนั้นในระยะเวลา 1 ปีจากนี้ ADVANC อาจจะได้รับผลกระทบบ้าง หากลูกค้าบางราย ต้องการที่จะใช้ 4G ซึ่งในกรณีเลวร้าย นักวิเคราะห์ ASP ประเมินว่าน่าจะกระทบต่อฐานลูกค้า 1-2% ราย จากที่มีอยู่ทั้งหมด (42 ล้านราย) แต่ไม่น่าจะกระทบต่อประสิทธิภาพ และความสามารถในการทำกำไร โดยประเมินว่าปี 2557 และปี 2558 ADVANC น่าจะทำกำไรได้ 3.98 หมื่นล้านบาท และ 4.79 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.8% และ 20.3% ตามลำดับ ขณะที่ราคาหุ้นที่ลดลงจนมี P/E 16 เท่า และมี upside 25.6% จึงเลือก ADVANC เป็น Top pick ของกลุ่ม
ขณะที่ TRUE([email protected] และ หลัง XR B9) ถือว่ากระทบน้อยมาก เนื่องจากมีฐานลูกค้า 2G ที่อยู่บนคลื่นความถี่ 1800 ที่กำลังจะหมดอายุใน 15 ก.ย. 2557 อยู่ราว 2-3 ล้านราย (เป็นกลุ่ม Feature Phone จากฐานลูกค้าที่มีอยู่ทั้งหมด 23 ล้านบาท) หากไม่มีการประมูลคลื่นดังกล่าวกลับมา จะทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้ไม่สามารถใช้บริการ 2G ได้ แต่อย่างไรก็ตาม กสทช. มีแผนที่จะให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้บริการลูกค้า 2G ต่อเนื่อง จึงคาดว่าจะไม่กระทบต่อ TRUE ขณะที่ฐานลูกค้ากลุ่มที่สร้างรายได้ให้กับ TRUE น้อยมาก อย่างไรก็ตามราคาหุ้น TRUE ที่ขึ้นมาเกินมูลค่าพื้นฐาน ระยะสั้น นักลงทุนน่าจะหาจังหวะขายทำกำไรระยะสั้น
ส่วน DTAC (FV@B122) ถือว่าไม่กระทบเลย เนื่องจากการให้บริการ 2G บนคลื่น 2100 ยังมีเวลาเหลืออีก 4 ปี คือ จะหมดอายุ 15 ก.ย. 2561 ขณะที่ DTAC ยังมีคลื่นความถี่เหลือมากพอที่จะให้บริการ 4G ปัจจุบัน DTAC มีฐานลูกค้า 28 ล้านราย เป็นลำดับ 2 รองจาก ADVANC อย่างไรก็ตามจากประเด็นนี้ทำให้ราคาหุ้น DTAC ตกต่ำมากจนทำให้ราคาหุ้นกลับมามี upside 12% จากมูลค่าพื้นฐาน ทั้งนี้ยังไม่รวม Divided Yield 6% จึงทำให้หุ้น DTAC เริ่มมีความน่าสนใจ แต่ในลำดับที่น้อยกว่า ADVACE เนื่องจากราคาหุ้น DTAC ยังมี P/E ที่สูงเกือบ 20 เท่า (ติดตามอ่านรายละเอียดใน Equity Talk เช้านี้)
กลุ่มธนาคารฯ ประกาศกำไร 2Q57 ดีกว่าที่คาด นำไปสู่การปรับกำไรขึ้น
การประกาศผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ใกล้สิ้นสุด โดยเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ทั้ง 7 แห่ง คือ (BBL, KBANK, SCB, TMB, TISCO, LHBANK และ TCAP) รายงานกำไรสุทธิรวมราว 4 หมื่นล้านบาท เติบโต 6.8%YoY และ 10.7%QoQ ซึ่งเป็นฐานกำไรที่สูงกว่าความคาดหมาย จากที่คาดว่าจะทรงตัว ทั้งนี้เกิดจากเหตุปัจจัย 2 ประการคือ NIM (Net Interest Margin) ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น หลังจากต้นทุนเงินฝากปรับลดลง ตามการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในเดือน เม.ย. และการตั้งสำรองหนี้ที่มีปัญหาต่ำกว่าคาด สะท้อนภาพความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ผ่อนคลายคง
ผลประกอบการที่ดีขึ้นดังกล่าว นำไปสู่การปรับเพิ่มประมาณการและ Fair Value ของ 2 ธนาคารใหญ่ คือ KBANK และ SCB ที่ล้วนแต่มีแนวโน้มผลกำไรโตในช่วง 2H57 จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว หลังจากซบเซาอย่างมากในงวด 1H57 รวมทั้งธนาคารขนาดกลางที่ปรับขึ้นไปก่อนหน้านี้ คือ TMB ยังผลให้มีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการกำไรกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น ธ.พ.ได้มีการปรับตัวขึ้นมากเกือบ 40% จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน จึงแนะนำให้ทยอยซื้อสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว โดยเลือกหุ้น Top Picks คือ SCB FV@B 220) และ KKP (FV@B 52.2)
หุ้นที่แนะนำใน Market talk