- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 02 June 2016 17:14
- Hits: 447
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ดัชนี กลับมาปรับฐานอีกครั้ง โดยคาดว่าน่าจะมีแรงขายธนาคารพาณิชย์ที่ฟื้นตัวแรง จนราคาหุ้นเกิน Fair Value และตามมาด้วยหุ้นสื่อสาร ขณะที่ยังให้สะสมหุ้นก่อสร้าง CK(FV@B36), UNIQ (FV@B20) ส่วน Top pick วันนี้ คือ WORK (FV@B45) มี rating ที่ดีขึ้นมาก ซึ่งจะนำไปสู่การปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณา และกำไรที่ดีขึ้นใน 2H59
ความกังวลต่อ เศรษฐกิจโลก กลับมามีน้ำหนักอีกครั้ง
ความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัว กลับมามีน้ำหนักอีกครั้ง แม้ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของสหรัฐ ยังส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง กล่าวคือรายงานดัชนีภาคการผลิตสัปดาห์ที่แล้ว เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว สะท้อนจากดัชนียอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน เดือน เม.ย. เบื้องต้น เพิ่มขึ้นที่ 3.4% จาก 0.8% ในเดือน มี.ค. สอดคล้องกับล่าสุดรายงานดัชนีภาคการผลิตสำรวจโดยสถาบัน ISM เดือน พ.ค. เพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดอยู่ที่ระดับ 51.3 จุด (ขยายตัวติดต่อกัน 3 เดือน) และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำรวจโดยมาร์กิต เดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดที่ระดับ 50.7 จุด
แม้สัญญาณการฟื้นตัวของดัชนีเศรษฐกิจดังกล่าว อาจตอกย้ำให้ Fed ขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นคือ ไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจโลกที่ยังส่งสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่อง ล่าสุด องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) แสดงความกังวลต่อประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งญี่ปุ่น ยุโรป และอังกฤษ รวมถึงจีน เป็นต้น ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันให้การประชุมของ Fed ครั้งถัดไป 14-15 มิ.ย. หรือในเดือน ก.ค. ยังชะลอการขึ้นดอกเบี้ยไปก่อน สอดคล้องกับผลสำรวจ Fed Fund Future ของ Bloomberg พบว่า โอกาสการขึ้นดอกเบี้ย มิ.ย. อยู่ที่ 22% (ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่คาด 30%)
เงินเฟ้อไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตอกย้ำ ธปท. น่าจะยืนดอกเบี้ยฯ ต่อไป
ทางด้านประเทศไทย กระทรวงพาณิชย์รายงานอัตราเงินเฟ้อ เดือน พ.ค. เพิ่มขึ้นที่ระดับ 0.46%yoy สูงกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.27% (อยู่ในแดนบวกติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2) แต่ตลอด 5M59 เฉลี่ย ยังติดลบ 0.2% โดยหลักๆ มาจากสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น 2.97% อาทิ ผักและผลไม้เพิ่มมากที่สุด 15.71% ผลจากภัยแล้งกดดันราคาให้ปรับตัวขึ้น รองลงมาคือ เนื้อสัตว์ เพิ่มขึ้น 2.97% ได้แก่ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ จากสภาพอากาศร้อนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกษตรกรรายย่อยต้องเผชิญปัญหาสัตว์เติบโตช้า
ขณะที่สินค้าหมวดอื่นที่ไม่ใช่อาหาร ที่ปรับเพิ่มขึ้นคือ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เพิ่ม 13.15% ขณะที่น้ำมันเชื้อเพลิงยังคงชะลอตัว 9.32%yoy แม้ว่าจะเห็นราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคานํ้ามันดิบโลกมีโอกาสขึ้นไปแตะระดับ 50 เหรียญฯต่อบาร์เรล ได้ภายในไตรมาส 2 ซึ่งหากเกิดขึ้นได้ ทำให้ ASPS อยู่ในช่วงทบทวนประมาณการเงินเฟ้อปี 2559 ใหม่โดยคาดว่าจะอยู่ในแดนบวกราว 1.01% (จากเดิมที่คาดติดลบ 0.5%) ส่งผลให้ส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายสุทธิ(ดอกเบี้ยนโยบาย – เงินเฟ้อ) ยังคงเป็นบวก ประกอบกับโอกาสการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ที่มีน้ำหนักมากขึ้นในปีนี้ เป็นการตอกย้ำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) จะยังยืนดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ต่อไปในการประชุมสัปดาห์หน้าวันที่ 10 มิ.ย.
ราคาน้ำมันดิบปรับฐานช่วงสั้น ยังแนะนำสะสม PTT
ราคาน้ำมันปรับฐานช่วงสั้น คาดส่วนหนึ่งจากประเด็นการประชุมในกลุ่ม OPEC วันนี้ (2 มิ.ย.) โดยเบื้องต้นคาดผลการประชุมจะไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในการกำหนดปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มฯ แต่จะกลับไปใช้นโยบายเดิม กีดกันคู่แข่งขัน โดยเฉพาะผู้ผลิตน้ำมันที่มีต้นทุนสูงอย่าง Shale oil/Shale gas ขณะที่ Supply ที่ลดลงจากเหตุการณ์ไฟไหม้ในแคนาดา จะกลับมาเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดคาดการณ์สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐในสัปดาห์นี้จะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังปรับลดลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา สวนทางกับ Demand ที่ยังคงทรงตัวเนื่องจากความกังวลต่อเศรษฐกิจข้างต้น
อย่างไรก็ตาม Dollar Index ที่กลับมาอ่อนตัว น่าจะหนุนให้ราคาน้ำมันฟื้นตัวได้ ผนวกกับกำลังเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนซึ่งเป็นฤดูขับขี่หนุนให้เริ่มมีการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกลับมาเป็นปัจจัยบวกชดเชยประเด็นที่กดดันราคาน้ำมันข้างต้น จึงยังคงคาดว่าราคาน้ำมันช่วงสั้นจะแกว่งตัวในกรอบแคบ อาทิ น้ำมันดูไบที่ระดับ 44-45 เหรียญฯต่อบาร์เรล และ น้ำมันตลาดล่วงหน้าทั้ง Brent และ WTI ที่ระดับ 48-50 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งในช่วงที่หุ้นในกลุ่มพลังงานย่อตัวลงมาทั้ง PTT@B330 และ PTTEP@B80 จึงเป็นจังหวะเข้าสะสม
ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิในภูมิภาคต่อเนื่องวันที่ 6 แต่ขายหุ้นไทยออกมา
เข้าสู่เดือน มิ.ย. นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 ด้วยมูลค่ารวมกว่า 530 ล้านเหรียญ เป็นการซื้อสุทธิ 4 ใน 5 ประเทศ นำโดย ไต้หวัน 313 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิติดต่อ 6 วันทำการ) เกาหลีใต้ 217 ล้านเหรียญ (สลับกลับมาซื้อสุทธิ) ฟิลิปปินส์ 10 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิติดต่อ 6 วันทำการ) และอินโดนีเซียซื้อสุทธิเล็กน้อย 2.5 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 9) ยกเว้นเพียงไทยเพียงแห่งเดียวที่นักลงทุนต่างชาติสลับมาขายสุทธิราว 12 ล้านเหรียญ หรือ 428 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกัน 5 วันทำการ) เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันขายสุทธิออกมาราว 114 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) ขณะที่พอร์ตโบรกเกอร์ วานนี้ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 7 ราว 207 ล้านบาท
ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนต่างชาติสลับมาขายสุทธิอีกครั้งที่ 2.3 พันล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกัน 3 วันทำการ) ตรงข้ามกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ยังคงซื้อสุทธิ 6.3 พันล้านบาท ส่วนค่าเงินบาทล่าสุดอยู่ที่ 35.64 บาท/เหรียญ
แนะขายหุ้น ธ.พ. ราคาหุ้นมี upside จำกัด ขณะที่ผลประกอบการงวด 2Q59 ย่ำแย่
การปรับขึ้นของ SET ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมากว่า 2.3% หลัก ๆ มาจากการฟื้นตัวของกลุ่ม ICT ถึง 4.87% นำโดย 2 หุ้นใหญ่คือ ADVANC และ INTUCH หลังจากการประมูลคลื่น 900 Mhz เสร็จสิ้นADVANC ได้ต้นทุนที่แพงลิบลิ่ว และน่าจะทำให้ต้นทุนมีแนวโน้มสูงขึ้นไม่แพ้ TRUE ทำให้ความน่าสนใจของ ADAVNC ลดลง ขณะเดียวกันคาดว่าในปี 2560 ADVANC น่าจะลดนโยบายการจ่ายเงินปันผลลงจากปัจจุบัน 100%ของกำไรสุทธิเหลือ 75-80% ในปีถัดๆ ไป
ตามมาด้วย กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ฟื้นตัวได้มากถึง 6% ทำให้ราคาหุ้น ธ.พ. หลายแห่งใกล้ Fair value หรือมี upside จำกัดแล้ว ขณะที่ด้านผลการดำเนินงานนั้น คาดว่ายังชะลอในงวด 2Q59 จากผลการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงทุกประเภทอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก พร้อมกับคาดค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ ที่ยังทรงตัวสูง ตาม NPL ที่ยังใกล้เคียงกับงวด 1Q59 โดยรวมกำไรสุทธิของกลุ่มฯ ปี 2559 ไม่เติบโตจากปี 2558 สรุปคาดการณ์งวด 2Q59 รายธนาคารดังนี้:
KBANK (FV@B175) คาดกำไรสุทธิงวด 2Q59 ยังทรงตัวจากงวด 1Q59 ทั้งในส่วนของสินเชื่อรวม NIM รายได้ค่าธรรมเนียมฯ credit cost และ cost to income ratio อย่างไรก็ตาม credit cost คาดจะลดลงใน 2H59 แต่โดยรวมคาดกำไรสุทธิ ปี 2559 ลดลง 7.5% แต่จะดีขึ้นในปี 2560 16.9% แต่อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปัจจุบันมี upside 1.2% แนะนำ take profit ระยะสั้น
SCB (FV@B130) คาด 2Q59 ทรงตัวต่ำใกล้เคียง 1Q59 ผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย MLR, MRR, MOR ลง 0.25% ในงวด 1Q59 โดยรวมคาดการณ์กำไรสุทธิหลังปรับลดประมาณการปี 2559 จะหดตัว 10.6%yoy แต่จะกลับไปฟื้นตัวถึง 20.7% yoy ในปี 2560 ราคาปัจจุบันเกิน Fair Value ไปแล้ว 5.1% แนะนำขาย
KTB ([email protected]) งวด 2Q59 คาดว่าจะหดตัวจาก 1Q59 เนื่องจากได้รับผลกระทบเต็มที่จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ น่าจะยังทรงตัวระดับสูงเพื่อรับมือกับ NPL ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยฯ และการเพิ่ม coverage ratio กลับไปใกล้เคียงเดิม ล้วนเป็นภาระหนักสำหรับ KTB ในปีนี้ แนะนำขาย แม้จะมี upside ราว 12.9% ก็ตาม
BBL (FV@B180) คาดงวด 2Q59 หดตัวลงจากงวด 1Q59 จากผลกระทบของ NIM ที่หดตัว แต่น่าจะได้แรงขับเคลื่อนการเติบโตในช่วง 2H59 จากโครงการรัฐที่มีความคืบหน้า และสินเชื่อรายใหญ่ที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยรวมกำไรสุทธิในปี 2559 ทรงตัวจากปี 2558 แต่จะเพิ่มขึ้น 10.4% ในปี 2560 ขณะที่ upside เหลือน้อยลง 10.4% แนะนำซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
LHBANK ([email protected]) แนวโน้มกำไรสุทธิงวด 2Q59 น่าจะยังทรงตัวสูงใกล้เคียง 1Q59 โดยภาพรวมคาดกำไรสุทธิ 2559 เติบโต 23% และ ปี 2560 เติบโต 29% ตามการเติบโตของสินเชื่อสุทธิและค่าธรรมเนียมฯ ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบัน มี upside อีกราว 21% แนะนำทยอยสะสม
TMB ([email protected]) คาดงวด 2Q59 จะหดตัวต่อเนื่องจากงวด 1Q59 จากการลดลงของ NIM ตามผลกระทบของการลดดอกเบี้ยเงินกู้ MLR และ MRR ลง ส่วนแนวโน้มการตั้งสำรองหนี้ฯ คาดว่ายังใกล้เคียงกับ งวด 1Q59 ตามภาพรวม NPL ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2559 เติบโต 4.9% yoy และ 16.3% yoy จากการเติบโตมาจากสินเชื่อ SME และรายย่อย ขณะที่ราคาหุ้นมี upside อีกราว 19%
TCAP ([email protected]) คาดกำไร 2Q59 ยังทรงตัวสูงต่อเนื่องจาก 1Q59 โดยคาดกำไรสุทธิปี 2559-60 จะเติบโตถึง 20.5% yoy และ 13.6% yoy ตามสัญญาณบวกของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่เริ่มเห็นในช่วงปลายปี ขณะที่ราคาหุ้นมี upside สูงถึง 36.8%
KKP ([email protected]) คาด 2Q59 น่าจะยังทรงตัวสูงได้ใกล้เคียงกับงวด 1Q59 โดยคาดกำไรสุทธิปี 2559-60 เติบโต 14.7% qoq และ 5.6% yoy จากค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ ที่ลดลง และอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ราคาหุ้นมี upside อีกราว 15%
TISCO (FV@50) คาด 2Q59 จะเห็นการฟื้นตัวของ สินเชื่อสุทธิมากขึ้น โดยคาดกำไรทั้งปี 2559 จะเบิดกว่า 8.2% ตามการฟื้นตัวของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ขณะที่ราคาหุ้นมี upside ราว 13% แนะนำซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
WORK เดินมาก rating ดีขึ้น พร้อมหนุนกำไร และราคาหุ้น outperform ตลาด
ท่ามกลางเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว แต่พบว่ามีบางธุรกิจที่ผู้ประกอบการทำกำไรได้ดีขึ้น สวนทางตลาดได้ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจดิจิตอลทีวี แม้ปัจจุบันการแข่งขันทวีความรุนแรง หลังจากที่มีผู้ให้บริการสื่อโทรทัศน์เชิงพาณิชย์ 24 ช่อง จากอดีตมีผู้ที่มีลักษณะกึ่งผูกขาด โดยมีช่อง 3 และช่อง 7 ครองส่วนแบ่งผู้ชมรวมกันกว่า 80% ของผู้ชมโทรทัศน์ในประเทศที่มีอยู่ราว 5.3 ล้านราย ขณะเดียวกัน ต้นทุนโดยรวมของดิจิตอลทีวี มีแนวโน้มที่สูง ทั้งต้นทุนคงที่ (ใบอนุญาต ค่าเช่าโครงข่าย ค่าเช่าดาวเทียม) ต้นทุนผันแปร ได้แก่ คอนเทนต์ และส่วนแบ่งรายได้ 2% ของรายได้ (ยังได้รับยกเว้นค่าใช้จ่ายอีก 2% ของรายได้ ที่ต้องนำเข้ากองทุนวิจัยฯ) ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เผชิญภาวะขาดทุน (MONO, GRAMMY, AMARIN, NMG, NBC, NEWS) ยกเว้น WORK และ RS ที่ยังมีกำไร เพราะมีจุดเด่นที่มี คอนเท้นต์เป็นของตนเอง และยังมีส่วนแบ่งผู้ชมที่เพิ่มขึ้น ส่วนกรณีของ BEC แม้ยังมีกำไรแต่มีแนวโน้มลดลง เพราะได้สูญเสียส่วนแบ่งผู้ชมต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ล่าสุดจากการเปิดเผยส่วนแบ่งผู้ชมของผู้ให้บริการสื่อทีวีทั้งหมด พบว่า WORK(FV@B45) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากสุด กล่าวคือ ขึ้นมาอยู่ที่ 13.6% ในเดือน พ.ค. เทียบกับ 9.7% ใน 1Q59 นับเป็นอันดับ 3 รองจาก ช่อง 7 และช่อง 3 ซึ่งมีส่วนแบ่งผู้ชมลดลงเหลือ 17.63% และ 31% (เทียบกับเฉลี่ย 24% และ 32.34% ในงวด 1Q59 ตามลำดับ) และทิ้งห่างคู่แข่งขันลำดับ 4 และ 5 คือ MONO และ RS ซึ่งส่วนแบ่งผู้ชม 6.1% และ 4.9% ตามลำดับ ทั้งนี้ส่วนแบ่งผู้ชม WORK ที่ดีขึ้นมากในเดือนล่าสุด เป็นผลจากการถ่ายทอดสดการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงพรีโอลิมปิค ที่ทีมชาติไทยลงแข่งด้วย
ผลดีส่วนแบ่งผู้ชมที่เพิ่มขึ้น จะทำให้อัตราค่าโฆษณาของช่อง Workpoint เพิ่มขึ้นจาก 4.8 หมื่นบาทต่อนาที มาอยู่ที่ 5 หมื่นบาท (ขณะที่ช่องทีวีรายอื่นไม่สามารถปรับขึ้นค่าโฆษณาได้ และน่าจะมีค่าโฆษณาเฉลี่ยไม่เกิน 2 หมื่นบาทต่อนาที) ทำให้ Utilization Rate ของการใช้เวลาโฆษณา ขยับขึ้นจาก 60% ในงวด 1Q59 เป็น 75%-80% ในงวด 2Q59 (ขณะที่คู่แข่งขัน กลับมีแนวโน้มชะลอตัวในงวด 2Q59)และ ในงวด 2Q59 ยังสามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากร่วมทุนใน Dianosaur Planet เข้ามาไตรมาสแรก จึงคาดงวด 2Q59 น่าจะมีกำไรสุทธิที่ดีขึ้นจากงวด 1Q59 ที่ทำกำไรได้ราว 573 ล้านบาท ทำให้ตลอดปี 2559 มีกำไรอยู่ที่ 2,172 ล้านบาท แม้ชะลอตัวจากปี 2558 แต่จะกลับมาเติบโต 9% ในปี 2560 หรือ มีกำไรสุทธิราว 2,375 ล้านบาท เลือก WORK(FV@B45) เป็น Top pick กลุ่มบันเทิง
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์