- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 13 May 2016 18:03
- Hits: 4999
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"เลือกซื้อเก็งกำไรเมื่อ SET เหนือ 1390"
Stock Picks-May 2016 : Fundamental : ADVANC, AOT, BA, LPH, TMT
Dark Horse : SMART, RS
Fundamental Pick -Today: CPF(ดู Theme ลงทุนด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, TMT, JASIF, DIF, CPNRF, SC, QH, SIRI, BCP
Shot Sell-Prev : BLA 35%, AMATA 18%, BA 15%, PTTGC 10%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบแต่มีสิทธิเด้งสั้น
Support Resistance Stop Loss
SET 1370-1360 1410,1420 หลุด 1390
SET50 870-860 895-905,910 หลุด 880
Technical Picks - Today SCC, CPN, GPSC, SPCG, SPA, CBG, KAMART, VIH
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : MC (จากถือเป็น Fully Valued), BEM (จากซื้อเป็นถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยวานนี้พุ่งขึ้น 16.90 จุดปิดที่ 1399.31 โดยมีการซื้อกลับหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ พลังงาน ปิโตรเคมี สนามบิน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มสื่อสารยังซบเซา เพราะความกังวลเรื่องการแข่งขันสูงและการตัดจำหน่ายค่าใบอนุญาต 4G อย่างไรก็ตาม เรามองว่าการร่วงลงเป็นจังหวะทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดีและจ่ายปันผลสูงในกลุ่มนี้ เช่น ADVANC, INTUCH และ JASIF นักลงทุนสถาบันในประเทศนำซื้อสุทธิ 2.7 พันล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิต่อ ด้านรายย่อยพลิกเป็นขายสุทธิหลังซื้อสุทธิมาหลายวัน
กำไรสุทธิ 1Q59 ทยอยออกมามาก พบว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็กหลายบริษัทมีกำไรดีกว่าคาด แต่ก็ควรระวังการอ่อนตัวจาก Sell on fact หลังจบปัจจัยผลประกอบการ รวมทั้งกระแสคาดการณ์เรื่องดอกเบี้ยสหรัฐอาจกลับมากดดันอีกรอบ
หลังประธานเฟดบอสตันเปิดฉากความเห็นว่าเฟดควรขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้เร็วขึ้นเพราะการทำ Policy normalization ต้องใช้เวลา สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ติดตาม คือ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนเม.ย.ซึ่งหากเร่งตัวขึ้น ก็จะทำให้ความกังวลเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐมากขึ้นอีก ส่วนราคาน้ำมันที่ขยับขึ้นและหนุนหุ้นพลังงาน & ปิโตรเคมีก็ควรระวังการแกว่งจากแรงขายทำกำไรด้วย โดยเฉพาะในหุ้นที่ราคาขึ้นแรง สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น CPF
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ แนวต้านระยะสั้น 1410, 1420 จุด แนวตัดขาดทุน คือ ค่าลบ หรือ SET ต่ำกว่า 1390 จุด กลยุทธ์ ซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวก และไม่ควรหวัง Gap มาก ส่วนการลงทุน เน้นทยอยซื้อสะสมหุ้นหลักพื้นฐานดีจังหวะราคาอ่อนตัว
สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวก หุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ CBG, GPSC, CPN, KAMART, KKC ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ MTLS, TWPC, SF, KTC, LIT หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ SAWAD, HMPRO, IVL
Need to know TODAY
เฟดบอสตันหนุนให้สหรัฐเริ่มขยับขึ้นดอกเบี้ย
ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาบอสตันได้ออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยเห็นว่าตลาดการเงินกำลังประเมินต่ำเกินไปเกี่ยวกับช่วงจังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และมองในแง่ลบมากเกินไปเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ ทั้งนี้ปัจจุบันนักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปี 59 โดยจะเกิดขึ้นในเดือนธ.ค. ขณะที่เจ้าหน้าที่เฟดคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง
BOE มีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ยนโยบายต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5%
เมื่อวานนี้ (12 พ.ค.59) คณะกรรมการกำหนดโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติเอกฉันท์ 9-0 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% และคงวงเงินการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 3.75 แสนล้านปอนด์ ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ตลาดหุ้นสหรัฐ...กลุ่มเทคโนโลยีฉุดตลาด นำโดย Apple Inc
การชะลอตัวลงของยอดขาย iPhone ฉุดหุ้น Apple Inc และกลุ่มเทคโนโลยี ทำให้ดัชนี Nasdaq ปรับลดลง 0.5% ขณะที่ดัชนี DJIA +0.05% การซื้อขายโดยรวมซบเซา ตัวเลขภาคแรงงานสหรัฐอ่อนลง โดยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 20,000 ราย สู่ระดับ 294,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 7 พ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.ของปีที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเป็น 270,000 ราย
+/- ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นต่อ...IEA ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์ทั่วโลกปีนี้ขึ้น
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 47 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 46.70 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบก.ค.เพิ่มขึ้น 48 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 48.08 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยหนุนใหม่ที่เข้ามา คือ IEA ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันดิบทั่วโลกปี 59 ขึ้นเป็น 1.4 ล้านบาร์เรล/วัน (มาจากความต้องการใช้จากจีน อินเดีย และรัสเซียที่สูงขึ้น) จากเดิมที่คาดว่าจะเพิ่ม 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน รวมทั้งระบุว่าแรงกดดันด้านอุปทานล้นเกินผ่อนคลายลงจากการลดปริมาณการผลิตของกลุ่มผู้ผลิตนอกโอเปก
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : การปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบจนใกล้จะถึง 50 ดอลลาร์/บาร์เรลในขณะนี้เป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี โดยเฉพาะผู้ผลิตและสำรวจก๊าซและน้ำมัน (หุ้นเด่นที่ยังมี Upside 10%+ คือ PTTGC, BCP) แต่เป็นลบกับกลุ่มเดินเรือประจำเส้นทาง เช่น RCL, กลุ่มสายการบิน เช่น AAV, BA, NOK, THAI ที่จะมีต้นทุนน้ำมันเพิ่ม (เนื่องจากทุกสายการบินไม่ได้ทำประกันความเสี่ยงน้ำมันไว้ทั้งหมด 100%) เป็นต้น
- ราคาทองคำอ่อนลงเพราะเงินดอลลาร์แข็งขึ้น
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ลดลง 4.30 ดอลลาร์ หรือ 0.34% ปิดที่ระดับ 1,271.20 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากความกังวลว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์กันไว้ในปัจจุบัน ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้น จึงกดดันราคาทองคำในระยะสั้นมาก
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จับตา
ข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐที่ตลาดติดตาม ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนเม.ย., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนเม.ย., ยอดค้าปลีกของเดือนเม.ย., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนมี.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
ธปท.ยืนยันดูแลเงินบาทไม่ให้ผันผวนมาก ด้านม.หอการค้าคาดเศรษฐกิจไทยโต 2.5-3.5% ในปีนี้
รองนายกฯ "สมคิด" ไม่เห็นด้วยที่จะใช้การกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อในการดูแลเศรษฐกิจ ขณะที่ผู้ว่าการแบงก์ชาติระบุไม่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าบาทอ่อนมาช่วยส่งเสริมการแข่งขันด้านการค้า ทำเพียงดูแลความผันผวนไม่ให้กระทบผู้ประกอบการ ยืนยันกนง.ไม่ได้ดูเงินเฟ้ออย่างเดียวแต่ดูแลเป้าหมายเศรษฐกิจอื่นๆประกอบด้วย แนะคนไทยหาความรู้การบริหารการเงินการออม การลงทุน รับมือช่วงอัตราดอกเบี้ยต่ำ
ด้านศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2559 มาอยู่ที่ 3% ในกรอบ 2.5-3.5% จากเดิม 3.5% เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังไม่ชัดเจน และส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย โดยคาดว่าการส่งออกปีนี้จะขยายตัว 0.8% จากเดิม 2% ทำให้เม็ดเงินหายไปจากระบบเศรษฐกิจ 400,000 ล้านบาท และยังมีภัยแล้งที่ทำให้รายได้ของเกษตรกรลดลง 120,000 ล้านบาท รวมทั้งยังมีปัญหาประมง สหภาพยุโรปตัดสิทธิพิเศษทางการค้า ปัญหามาตรฐานการบินของไทย และเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัว รวมถึงค่าเงินบาทเริ่มมีแนวโน้มแข็งค่าเพิ่มขึ้น ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปตลอดปีนี้คาดอยู่ที่ 0.4% จากเดิม 1.4%
+ ผลประกอบการ 1Q59 กำลังออกมาต่อเนื่อง...กำไรหุ้นกลาง-เล็กหลายบริษัทดีกว่าคาด
บริษัทจดทะเบียนทยอยรายงานกำไรสุทธิ 1Q59 ซึ่งพบว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็กหลายบริษัทมีกำไรสุทธิดีกว่าคาด ขณะที่บริษัทใหญ่มีกำไรตามคาดหรืออ่อนกว่าคาด โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารที่มีการตั้งสำรองค่าเผื่อฯสูงและมี Downside จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขาเดียว ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลกระทบใน 2Q59 โดยรวมถ้าไม่รวมกำไรกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และขนส่ง ซึ่งมีรายการพิเศษที่ทำให้ผลประกอบการผันผวนมาก คาดการณ์กำไรสุทธิปี 59 ของหุ้นที่ DBSV ทำการวิเคราะห์ขยายตัวที่ +2.9% (เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนรายงานผลประกอบการ 1Q59 ที่ +2.4%) โดยกลุ่มที่มีกำไรเติบโตแข็งแกร่งในปี 59 เป็น กลุ่มเหล็ก, กลุ่มไฟแนนซ์, กลุ่มสื่อขนาดกลาง-เล็ก (เช่น RS, WORK), กลุ่มท่องเที่ยว & โรงแรม ส่วนกลุ่มที่ Turnaround เป็น พลังงาน, ปิโตรเคมี และขนส่ง (โดยเฉพาะสายการบินซึ่งมีต้นทุนน้ำมันต่ำลง)
+ กลุ่มเหล็ก : กำไร 1Q59 ฟื้นตัวดีถ้วนหน้า...ให้ TMT เป็นหุ้น Top pick
อุปทานเหล็กในประเทศที่ค่อนข้างตึงตัวจากผู้ผลิตรายใหญ่ผลิตน้อยลงและชะลอการนำเข้าในช่วงที่ Anti-dumping duty สำหรับการนำเข้าเหล็กยังไม่ชัดเจน และการกลับมาสะสมสต็อกหลังมีระดับต่ำมากในสิ้นปี 58 ของดีลเลอร์ ทำให้ราคาเหล็กที่ปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 1Q59 จนถึงต้นไตรมาส 2/59 ทำให้ผลประกอบการของกลุ่มเหล็กพลิกฟื้นขึ้นดี ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตขั้นกลาง ผู้ค้าเหล็ก หรือผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ เช่น ท่อ เนื่องจากปริมาณขายเพิ่มขึ้น มาร์จิ้นสูงขึ้นกว่าภาวะปกติเพราะมีสต็อกเก่าต้นทุนต่ำ ตัวอย่างหุ้นที่มีกำไรฟื้นแกร่ง เช่น INOX (1Q59 กำไรเท่ากับ +26 ล้านบาท / 1Q58 เท่ากับ +5 ล้านบาท), BSBM (+70 ล้านบาท / -43 ล้านบาท), PAP (+237 ล้านบาท / -106 ล้านบาท), SAM (+78 ล้านบาท / -35 ล้านบาท), TSTH (+154 ล้านบาท / -610 ล้านบาท) เป็นต้น
สำหรับ TMT ซึ่งยังไม่ได้รายงานกำไร 1Q59 โดยเราคาดการณ์ไว้ว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิ 1Q59 เติบโตแกร่ง +246%YoY และ +278%QoQ เป็น 242 ล้านบาท หนุนโดยปริมาณขายที่เติบโต 20%YoY และ 14%QoQ เป็น 1.67 แสนตัน อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 14% จาก 6-8% ในช่วง 1Q58 และ 4Q58 แนวโน้มราคาเหล็กยังเพิ่มขึ้นต่อในต้น 2Q59 แต่ต้นทุนที่สูงขึ้นทำให้อัตรากำไรขั้นต้นจะอ่อนลง อย่างไรก็ดี น่าจะอยู่ในระดับสูงกว่าภาวะปกติที่ 7-8% ได้อยู่ แนะนำซื้อ TMT ให้ราคาพื้นฐาน 13 บาท คาดการณ์ Dividend yield ปีนี้สูงกว่า 9% (จ่ายปีละ 1 ครั้ง)
+ MALEE (ราคาปิด 38 บาท) : กำไรสุทธิ 1Q59 ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 1Q59 เติบโต 29%YoY เป็น 110 ล้านบาท โดยมาจากรายได้ส่งออกที่เพิ่มขึ้น (Key Growth คือ การรับจ้างผลิตให้กับลูกค้าในสหรัฐที่ขยายตัวสูง) และการส่งออกไปตลาด CLMV และจีนไปได้ดี ขณะที่รายได้ในประเทศค่อนข้างทรงตัวและยังแข่งขันสูง (บริษัทมีรายได้จากการส่งออกประมาณ 30% ของรายได้รวม) แนวโน้ม 2Q59 ยังเป็นบวก โดยสภาพภูมิอากาศที่ร้อนเป็นปัจจัยหนุนการบริโภคเครื่องดื่มและน้ำผลไม้ และบริษัทจะเริ่มทำตลาดกาแฟในฟิลิปปินส์ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นใน 2H59 (จากที่บริษัทประเมินไว้ในเบื้องต้นว่าจะทำรายได้จากตลาดนี้ราว 300 ล้านบาท หรือ 5% ของรายได้ในปีนี้) ในเชิงกลยุทธ์แนะนำซื้อเก็งกำไร หากให้ P/E เป้าหมาย 15 เท่าของ EPS ปีนี้ซึ่งคาดว่าจะเติบโต 18% เป็น 2.8 บาท/หุ้น จะได้ราคาเป้าหมาย 42 บาท
+ TVD (ราคาปิด 2.28 บาท) : กำไร 1Q59 ฟื้นตัวแข็งแกร่งมากและเป็นไปตามคาด
บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 1Q59 เท่ากับ 35 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากจาก 0.064 ล้านบาทใน 1Q58 และจาก 10 ล้านบาทใน 4Q58 หนุนโดยธุรกิจ TV Direct และ Shopping รายได้รวมเพิ่ม 41%YoY เป็น 923 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 51% ใกล้เคียงกับ 1Q58 ที่ 50% แต่บริษัทควบคุมค่าใช้จ่ายในการขาย & บริหารได้ดีทำให้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวลดลงเป็น 46% ของยอดขายใน 1Q59 จาก 52% ใน 1Q58 สำหรับทั้งปี 59 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 124 ล้านบาท (EPS : 0.19 บาท/หุ้น) พลิกจากขาดทุน 41 ล้านบาทในปี 58 และคาดว่าบริษัทจะกลับมาจ่ายปันผลระหว่างกาลของปีนี้ได้หลังนำสำรองตามกฎหมายและส่วนเกินมูลค่าหุ้นมาล้างขาดทุนสะสมในงบเดี่ยวที่มีอยู่ 47 ล้านบาทในสิ้นมี.ค.59 ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำซื้อเก็งกำไร ให้ราคาเป้าหมาย 2.8 บาท เทียบเท่ากับ P/E ปีนี้ที่ 15 เท่า
+ GL (ราคาปิด 26 บาท) : กำไร 1Q59 ออกมาตามที่ฝ่ายวิจัยฯ DBSV คาดการณ์ไว้
GL รายงานกำไรสุทธิ 1Q59 เท่ากับ 220 ล้านบาท (+100% y-o-y, +14% q-o-q) หนุนโดยผลประกอบการในต่างประเทศ คือ กัมพูชาและลาว คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้นเพราะระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อในประเทศ แนวโน้มไปได้ดี คาดว่ากำไรรายไตรมาสจะเพิ่มขึ้นทุกไตรมาสในช่วงที่เหลือของปีนี้ แรงผลักดันหลักมาจากธุรกิจที่กัมพูชา สำหรับธุรกิจในอินโดนีเซียเป็นการร่วมทุนกันระหว่าง GL 65% J-Trust 20% และพันธมิตรท้องถิ่น 15% ขณะนี้กำลังรออนุมัติใบอนุญาตทำธุรกิจจากทางการอินโดนีเซีย ฝ่ายวิจัยฯ DBSV แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 28 บาท ซึ่งประเมินด้วย Gordon Growth Model และใช้ P/BV ปี 59 ที่ 4.9 เท่า เราคาดว่าอัตราการเติบโตกำไร CAGR 3 ปี ระหว่างปี 58-61 เป็น 51% ต่อปี ในแง่ PEG ถือว่าราคาหุ้นยังถูก ปัจจุบันเป็น 0.7 เท่า และที่ราคาพื้นฐานเป็น 0.8 เท่า
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]