- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 25 April 2016 17:37
- Hits: 1522
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ทิศทางตลาด
ผันผวน? แต่คาดอยู่ในกรอบแคบ คาดอยู่ระหว่างรอ (1) ผลประชุมเฟด – เช้า พฤ. ตามเวลาไทย โดยเฉพาะสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และ (2) การประชุม BOJ วันที่ 27 – 28/4/59 ซึ่งคาดอาจมีการขยายการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ย โดยคาดอาจมีการปรับลดอัตราดดอกเบี้ยจากระดับ -0.1% ลงอีกสำหรับเงินสำรองที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ BOJ
อย่างไรก็ตามยังได้รับปัจจัยบวกเข้ามาบ้างจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน รวมถึงกลุ่มโรงกลั่นที่ได้รับปัจจัยบวกจากค่าการกลั่น ล่าสุดอยู่ที่ 5.2USD ดีขึ้นจากระดับต่ำสุด (4.3USD) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ส่วนทางด้านประเด็นในประเทศ ยังไม่มีปัจจัยชี้นำใหม่ๆ แต่คาดยังมีสัญญาณที่ดี จาก Fund Flow ภายใต้เงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า คาด Fund Flow ยังมีโอกาสไหลกลับเข้ามา รวมถึงแรงเก็งกำไรผลการดำเนินงาน – 1Q/59 ที่คาดมีต่อเนื่องถึงกลางเดือน พ.ค.
นอกจากนี้คาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ของภาครัฐ (1) การเร่งรัดเปิดประมูลโครงการต่อเนื่อง ในช่วง 2Q – 3Q/59 เช่น รถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม – มีนบุรี) เป็นต้น ซึ่งส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
(2) การปรับโครงสร้างภาษี (มีผลต่อภาษีในปี’60) เช่น เพิ่มค่าลดหย่อน จากเดิม 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท และหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เป็นต้น คาดช่วยเพิ่มอำนาจซื้อ และคาดเป็น Sentiment ที่ดีต่อกลุ่มค้าปลีก
และกลุ่มที่อยู่อาศัย เช่น PS และ LPN เป็นต้น ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการบ้านประชารัฐ และในระยะสั้นจากมาตรการกระตุ้นอสังฯ ของภาครัฐ ที่จะหมดอายุลงปลายเดือนนี้ คาดช่วยเร่งให้มีการโอนเร็วขึ้น รวมถึงการทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคาร ที่คาดเป็นปัจจัยหนุนในระยะกลาง – ยาว
นอกจากนี้ยังแนะจับตา
(1) กลุ่มการบินและสนามบิน เช่น AOT, BA, AAV
(2) กลุ่มพลังงาน PTT และ PTTEP ยังมีความกังวลเกี่ยวกับอุปทานส่วนเกิน
(3) หุ้นกลุ่มโรงกลั่น เช่น IRPC, TOP และ SPRC จะได้รับผลบวกจากค่าการกลั่นที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในช่วง 1Q/59 และคาดจะไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันจำนวนมากอีก
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+/-) ตลาดหุ้นต่างประเทศ DJIA +21.23, NASDAQ -39.66, S&P 0.10 FTSE -71.00, CAC -13.17 และ DAX -62.24
โดยได้ปัจจัยบวกจากราคาน้ำมัน ที่ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ใช้งานในสหรัฐฯ ลดลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันส่วนเกิน อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นเป็นไปอย่างจำกัดจำกัด จากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ในสหรัฐฯ เช่น ไมโครซอฟท์ และแคเทอร์พิลลาร์ เป็นต้น รวมถึงตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้น - เม.ย.ของสหรัฐฯ อยู่ที่ 50.8 ลดลงจากระดับ 51.5 เมื่อมี.ค. และเคลื่อนไหวที่ระดับต่ำสุดนับแต่
ก.ย.’ 52 ขณะที่อยู่ระหว่างรอผลประชุมเฟด (26 – 27/4/59) เพื่อดูทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
ส่วนทางด้านตลาดยุโรป ได้รับปัจจัยลบเพิ่มจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการของยูโรโซน – เม.ย. อยู่ที่ 53.0 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน และความกังวลเกี่ยวกับข่าวการใช้ซอฟท์แวร์โกงการทดสอบค่าไอเสียของบริษัทผลิตรถยนต์บางแห่งราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน มิ.ย. +US$0.55 อยู่ที่ US$43.73 ต่อบาร์เรล หลังเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการแก่อุตสาหกรรมน้ำมัน เปิดเผยว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ใช้งานในสหรัฐฯ ลดลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และ EIA เปิดเผยตัวเลขการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงในสัปดาห์ที่แล้ว
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
20.74 1.85 3.36
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 39,488.05
สถาบัน -1,401.83
บัญชีหลักทรัพย์ -607.38
ต่างประเทศ -50.30
ในประเทศ +2,059.51
(4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากโครงการก่อสร้างของภาครัฐ เช่น TPIPL
(5) หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม (MINT, CENTEL)
(6) กลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL, HMPRO และ ROBINS ที่คาดได้รับประโยชน์หลังรัฐบาลอัดฉีดกำลังซื้อรากหญ้าอย่างต่อเนื่อง จากโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเกษตรกร 3 โครงการวงเงิน 93,000 ล้านบาท
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.02 อยู่ที่ 1.89% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -0.73 อยู่ที่ 13.22
หุ้นแนะนำ : PS
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ โทร.02-684-8788