- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 19 April 2016 17:42
- Hits: 1196
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'เข้าสู่ช่วงเก็งกำไรรายงานผลประกอบการ'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้น 13.35 จุด ปิดที่ 1398.77 นำโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์, โรงกลั่นและปิโตรเคมี, ท่องเที่ยว& โรงแรม & อาหาร เป็นต้น นักลงทุนต่างชาติและพอร์ตบล.ซื้อสุทธิ 1.8 และ 1.4 พันล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อสุทธิเล็กน้อย 307 ล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ 3.5 พันล้านบาท
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดในช่วงนี้ คือ การเก็งกำไรผลประกอบการ 1Q59 ซึ่งกลุ่มธนาคารพาณิชย์เริ่มรายงานผลประกอบการ 1Q59 โดย TISCO มีกำไรก่อนสำรองฯเติบโตดี แต่ตั้งสำรองค่าเผื่อสูงทำให้กำไรสุทธิต่ำกว่าคาด สำหรับธนาคารพาณิชย์รายอื่น คาดว่าจะตั้งสำรองค่าเผื่อฯสูงเป็นส่วนใหญ่ใน1Q59 เพื่อรองรับความเสี่ยงในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซายาว อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นได้สะท้อนแนวโน้มผลกำไรที่จะไม่ได้ดีมากไปแล้วในช่วงที่นักวิเคราะห์ทำ Preview ซึ่งหากกำไรออกมาตามคาดหรือดีกว่าคาดก็มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะรีบาวด์ขึ้นได้ เก็งกำไรช่วงสั้นแนะนำ KBANK, SCB สำหรับกลุ่มพลังงานคาดว่ากำไร 1Q59 จะเติบโตดีเมื่อเทียบ QoQ และอาจเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของ PTTEP ส่วนแนวโน้ม 2Q59 จะอ่อนลงจากไตรมาส 1 ซึ่งเป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ลดลง กลยุทธ์ คือ เก็งกำไรเป็นรอบๆ ส่วนการลงทุนยาวก็รอซื้อสะสมจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว หุ้นลงทุนเป็น BCP และ PTTสำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น KBANK
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกแต่ยังไม่ทิ้งการแกว่งตัว แนวต้าน 1405-1410 หรือ 1420 จุด แนวตัดขาดทุน คือ ค่าลบ หรือ SET ต่ำกว่า 1380 จุด
สำหรับการ SCAN หุ้นสัญญาณทางเทคนิคดี พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น EPG, NWR, IFEC, GLOW, RS, WORK, TKN ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List และหุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit เมื่อราคาปรับขึ้นต่อ ได้แก่ MCS, INET, CHG, BEAUTY , BA, KBANK, SCB, JASIF
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
•/+ สหรัฐ : ประธานเฟดนิวยอร์คกล่าวว่าเฟดยังคงระมัดระวังในการปรับขึ้นดอกเบี้ย ถึงแม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐจะออกมาดีในหลายรายการ ปัจจัยเสี่ยงคือ เศรษฐกิจภายนอกที่ยังเปราะบางและอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวและเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในปีนี้ โดยจะเป็นช่วง2H59 มากกว่า
•/- สหรัฐ : CPI และความเชื่อมั่นผู้บริโภคอ่อนลง ดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) เดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 0.1%MoM การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมี.ค.ลดลง 0.6%MoM ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.ที่สำรวจโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกนลดลงเป็น 89.7 จาก 91.0 ในเดือนมี.ค. ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มเป็น 92
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : เก็งกำไรผลประกอบการหนุนดัชนี DJIA ปิดบวก0.6% และอยู่เหนือระดับ 18,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน สำหรับหุ้นกลุ่มพลังงานราคาขยับขึ้นได้แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะลดลง ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จับตา คือ ยอดขายบ้านมือสองเดือนมี.ค., สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจเดือนเม.ย.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ดัชนีราคาบ้านเดือนก.พ. และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเม.ย.โดยมาร์กิต
•/- ราคาน้ำมันดิบ : อ่อนตัวลงแต่ไม่มาก โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTIและ BRENT ปิด -0.58 และ -0.19 ดอลลาร์ที่ 39.78 และ 42.91 ดอลลาร์ตามลำดับ ซึ่งไม่ได้รุนแรงมากเพราะมีการประเมินกันก่อนหน้าว่าการประชุมกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันวันที่ 17 เม.ย.อาจจะคว้าน้ำเหลว เมื่อผลออกมาในทางนั้นก็ไม่ได้กระทบมาก
• ราคาทองคำ : ปิดบวกเล็กน้อย สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนมิ.ย. +0.40 ดอลลาร์ ที่ 1,235.00 ดอลลาร์/ออนซ์+ ดัชนีค่าระวางเรือ : ขยับขึ้นต่อ โดยเมื่อวานนี้ (18 เม.ย.) ปิดที่ 659จุด โดยขยับขึ้นจากระดับต่ำสุดที่ 290 จุดในวันที่ 10 ก.พ.59 เนื่องจากมีการสะสมสต็อกสินค้า เช่น เหล็ก มากขึ้นในช่วง 1Q59 จากก่อนหน้าที่ระบายสต็อกออกไปมาก ซึ่งการฟื้นตัวของดัชนีค่าระวางเรือเป็นปัจจัยบวกกับหุ้นในกลุ่มเดินเรือเทกอง เช่น PSL, TTA ซึ่งหุ้นทั้งสองบริษัทยังซื้อขายต่ำกว่า BVS โดย PSL มี P/BV อยู่ที่ 0.7 เท่า และ TTA มี P/BV เท่ากับ 0.8เท่า และ TTA ได้ตั้งสำรองด้อยค่าในสินทรัพย์และเงินลงทุนไปเป็นหมื่นล้านบาทแล้วในปี 58
• ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ : ทรงๆ ในระดับอ่อน ล่าสุด Dollar CashIndex อยู่ที่ 94.4-94.5 จุด ระยะสั้นเป็นเพราะตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาอ่อนแอกว่าคาด (ดูรายละเอียดด้านบน) และเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเป็น 34.95 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์หนุนตลาดหุ้นและราคาทองคำ
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
• กลุ่มพลังงาน : กำไรสุทธิ 1Q59 เติบโต QoQ จากราคาน้ำมันดิบระดับปิดสิ้น 1Q59 เพิ่มขึ้น และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพราะค่าเงินบาทแข็งขึ้น รวมทั้งการตั้งสำรองด้อยค่าในเงินลงทุนและสินทรัพย์ก็จำกัดหลังทำไปมากในปีก่อน แต่แนวโน้มผลประกอบการ 2Q59 จะอ่อนลงจากการอ่อนตัวลงของราคาน้ำมันดิบ เพราะกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ยังไม่บรรลุข้อตกลงในการตรึงปริมาณการผลิต และคาดว่าอุปทานจะเข้ามาเพิ่มในช่วง2Q59 โดยเฉพาะจากอิหร่านที่ผลิตน้ำมันสู่ตลาดโลกเพิ่มขึ้น
ส่วนแนวโน้มระยะยาว (ตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป) ยังไปได้ และฐานะการเงินของบริษัทพลังงานของไทยยังแข็งแกร่ง เราคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะค่อยๆขยับขึ้นเมื่ออุปสงค์และอุปทานเข้าใกล้สมดุลซึ่งคาดว่าจะเป็นปี 60 ดังนั้นการลงทุนกลุ่มพลังงานจึงเป็นการทยอยซื้อสะสมจังหวะที่ราคาหุ้นอ่อนตัวส่วนการเก็งกำไรก็ต้องเป็นรอบๆ เพราะราคาน้ำมันดิบในปีนี้คาดว่าจะยังผันผวนมาก
หุ้น Top Picks คือ PTT และ BCP โดย PTT มีธุรกิจมั่นคง ฐานะการเงินดีการเติบโตของกำไรสุทธิในปี 59 จะสูงมากจากฐานกำไรที่ต่ำเพียง 2 หมื่นล้านบาทในปี 58 (ปี 56-57 มีกำไรสุทธิ 95 และ 56 พันล้านบาทตามลำดับ) มี Valuation ต่ำ (P/BV ปี 59 ต่ำเพียง 1.1 เท่า) และให้Dividend Yield 4% ฝ่ายวิจัยฯ DBSV แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 320 บาทส่วน BCP มีการกระจายความเสี่ยงไปในธุรกิจโรงไฟฟ้าทำให้ความผันผวนของกำไรจากการแกว่งตัวของราคาน้ำมันดิบน้อยลง และธุรกิจโรงไฟฟ้ามีกำไรที่ค่อนข้างแน่นอน (ให้ EBITDA ประมาณ 3 พันล้านบาท/ปี) Valuationต่ำ (P/BV ปี 59 ต่ำเพียง 1.1 เท่า) และให้ Dividend Yield 6% แนะนำซื้อราคาพื้นฐาน 39 บาท
สำหรับ Dark Horse เราให้เป็น IRPC ซึ่งคาดว่ากำไรสุทธิ 1Q59 จะออกมาดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราภาษีที่ต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ เพราะมีผลขาดทุนสะสมมาใช้หักภาษี ประมาณการว่ากำไรสุทธิ 1Q59 จะอยู่ที่ 2.7พันล้านบาท เพิ่มจาก 447 ล้านบาทใน 4Q58 แต่ยังลดลง 29%YoY ด้านCore Profit คาดว่าจะอยู่ที่ 4.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8%YoY และ33%QoQ ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค แนะนำซื้อเก็งกำไรตามค่าบวก โดยมีแนวต้านระยะสั้น 5.50 บาท, 6.0-6.5 บาท ปัจจัยหนุน คือ ความสำเร็จของโครงการ UHV ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและค่าการกลั่นให้บริษัท
• กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : ทยอยประกาศกำไรสุทธิ 1Q59 โดย TISCOรายงานกำไรสุทธิไตรมาสนี้ 1.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 5%YoY และ 1%QoQซึ่งต่ำกว่าคาดเพราะตั้งสำรองค่าเผื่อฯสูง สำหรับกำไรก่อนสำรองฯเป็นไปตามคาด โดยเติบโต 8%YoY และ 4%QoQ เป็น 2.5 พันล้านบาท สินเชื่อยังคงหดตัว ซึ่งเป็นไปตามกำลังซื้อของผู้บริโภคและเศรษฐกิจชะลอตัว แต่NPL Ratio ลดลง ทำให้ Coverage Ratio เพิ่มเป็น 89% ในสิ้น 1Q59 ทางฝ่ายวิจัยฯ DBSV แนะนำถือ TISCO โดยราคาพื้นฐาน 46 บาท สำหรับธนาคารพาณิชย์รายอื่น คาดว่าจะตั้งสำรองค่าเผื่อฯสูงเป็นส่วนใหญ่ใน1Q59 เพื่อรองรับความเสี่ยงในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซายาว อย่างไรก็ตามราคาหุ้นได้สะท้อนแนวโน้มผลกำไรที่จะไม่ได้ดีมากไปแล้วในช่วงที่นักวิเคราะห์ทำ Preview ซึ่งหากกำไรออกมาตามคาดหรือดีกว่าคาดก็มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะรีบาวด์ขึ้นได้ เก็งกำไรช่วงสั้นแนะนำ KBANK, SCB
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค– [email protected]