- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 04 April 2016 17:38
- Hits: 1349
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ทิศทางตลาด
Sideway? คาดการเคลื่อนไหวยังมีความผันผวน ภายใต้ปัจจัยต่างประเทศ (+) ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา ค่อนข้างสดใส ขณะที่คาด (-)ความกังวลกลับเข้ามาจากประเด็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด แม้ประธานเฟดออกมาส่งสัญญาณว่าการปรับขึ้นจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฟดจะมีการประชุมในวันที่ 26 – 27/4/59 นี้ และราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ภายใต้ความไม่แน่นอนในการประชุมของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในวันที่ 17/4/59 ว่าจะสามารถจำกัดการผลิต เพื่อดึงราคาน้ำมันให้เพิ่มขึ้น ได้หรือไม่?
ส่วนทางด้านประเด็นในประเทศ ยังไม่มีปัจจัยชี้นำใหม่ๆ เช่นกัน แต่คาดยังได้รับปัจจัยหนุนจาก (1) Fund Flow ที่คาดมีน้ำหนักมากขึ้นหลังจากนี้ไป โดยคาดน่าจะกลับเข้ามาในภูมิภาคอีกครั้ง ซึ่งรวมถึง ล่าสุดแรงซื้อสุทธิจากต่างชาติ อีกเกือบ 4,100 ล้านบาท และทำให้ YTD เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น +22,997 ล้านบาท แนะจับตาหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ
(2) มาตรการกระตุ้นของภาครัฐ เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการท่องเที่ยวในประเทศ ในช่วงวันหยุด คาดส่งผลดีต่อกลุ่มค้าปลีก กลุ่มโรงแรม และกลุ่มอาหาร รวมถึง โครงการบ้านประชารัฐ ที่คาดส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มที่อยู่อาศัย เช่น PS และ LPN เป็นต้น
และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่คาดได้รับปัจจัยบวกจากความคืบหน้าในการเปิดประมูล โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) หลังเข้าที่ประชุมคณะรัฐมตรี (ครม.) วานนี้ คาดเริ่มเปิดประมูลประมาณ 2Q – 3Q/59
นอกจากนี้ยังแนะจับตา
(1) กลุ่มการบินและสนามบิน เรามองจากเหตุการณ์ก่อการร้ายที่ประเทศเบลเยี่ยมเป็นเพียงปัจจัยลบระยะสั้น ควรหาจังหวะเข้าลงทุนเพื่อการลงทุนระยะยาว เช่น AOT, BA, AAV
(2) กลุ่มพลังงาน PTT และ PTTEP อาจมีแรงขายทำกำไร จากความกังวลอุปทานล้นตลาด และราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัว
(3) หุ้นกลุ่มโรงกลั่น เช่น IRPC, TOP และ SPRC จะได้รับผลบวกจากค่าการกลั่นที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในช่วง 1Q/59 และคาดจะไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันจำนวนมากอีก
(4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากโครงการก่อสร้างของภาครัฐ เช่น TPIPL
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
20.54 1.83 3.4
ที่มา: www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย(ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 42,206.44
สถาบัน -2,003.63
บัญชีหลักทรัพย์ 191.54
ต่างประเทศ 4,018.83
ในประเทศ -2,206.75
(5) หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม (MINT, CENTEL) ในระยะยาวยังดูดี แต่ในระยะสั้นจะได้รับปัจจัยลบจากเหตุการณ์ก่อการร้าย เช่นกัน
(6) กลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL, HMPRO และ ROBINS ที่คาดได้รับประโยชน์หลังรัฐบาลอัดฉีดกำลังซื้อรากหญ้าอย่างต่อเนื่อง จากโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเกษตรกร 3 โครงการวงเงิน 93,000 ล้านบาท
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.01 อยู่ที่ 1.79% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -0.85 อยู่ที่ 13.10
หุ้นแนะนำ : TWPC
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ โทร.02-684-8788
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+/-) ตลาดหุ้นต่างประเทศ DJIA +107.66, NASDAQ +44.69,S&P +13.04, FTSE –28.85, CAC -62.82 และ DAX -170.87
ภายใต้ปัจจัยหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ทั้งตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร – มี.ค. เพิ่มขึ้น 215,000 ตำแหน่ง มากกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 205,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงาน อยู่ที่ 5.0% เพิ่มขึ้นจาก 4.9% เมื่อเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 8 ปี และดัชนีภาคการผลิต – มี.ค. อยู่ที่ 51.8 เพิ่มขึ้นจาก 49.5 เมื่อเดือนก.พ. และสูงกว่าที่คาดไว้ที่ 50.7
ขณะที่มีมุมมองที่เป็นบวกว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งดังกล่าวจะไม่เป็นแรงผลักดันให้เฟดรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังล่าสุดประธานเฟด ย้ำว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะเป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป
ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ได้รับปัจจัยกดดันจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของเยอรมนี - มี.ค. อยู่ที่ 50.7 ซึ่งเพิ่มเพียงเล็กน้อยจากระดับ 50.5 เมื่อก.พ.
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน พ.ค. -US$1.55 อยู่ที่ US$ 36.79ต่อบาร์เรล ภายใต้ความกังวลว่า กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อาจจะไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องการจำกัดเพดานการผลิต หลังซาอุดิอาระเบียออกมายืนยันว่าจะตรึงกำลังการผลิตก็ต่อเมื่ออิหร่านและประเทศอื่นๆ ยอมปฏิบัติตาม
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน มิ.ย. -US$12.1 อยู่ที่ US$ 1,223.5ต่อออนซ์ ภายใต้ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งข้างต้น ส่งผลให้ลดการถือทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย