- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 01 April 2016 17:27
- Hits: 892
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ยังผันผวน โดยมีแนวรับ 1,400 จุด หากยังไม่มีประเด็นบวกใหม่ ๆ ช่วยหนุน จึงยังให้ทยอยปรับลดพอร์ตขายหุ้นที่มี upside จำกัด แต่ให้ถือหุ้นมีประเด็นบวก/ผลประกอบการเด่นงวด 1Q59 (BDMS, ERW, CENTEL, WORK, PTT, IRPC) ยังเลือก BDMS(FV@B25), KCE(FV@B100) เป็น Top picks
คาด SET เหนือ 1,400 จุด ยังผันผวน จนกว่าจะมีปัจจัยหนุนใหม่ ๆ
ระยะสั้นคาดว่าดัชนียังผันผวน และยังน่าจะยืน 1,400 จุดได้ โดยได้รับแรงหนุน จาก Fund Flow ที่ยังคงเป็นปัจจัยบวก จากสภาพคล่องโลกสูง อันเป็นผลจากการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายทั่วโลก ทั้งนี้แม้ล่าสุด สหรัฐรายงานตลาดแรงงานเดือน มี.ค. 2559 ยังฟื้นตัวค่อยเป็นค่อยไป โดยล่าสุด ยอดผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกยังคงเพิ่มขึ้น 1.1 หมื่นราย เทียบกับ 6 พันรายในสัปดาห์ก่อน (ยอดผู้ขอรรับสวัสดิการยังอยู่ในระดับ 2.5-2.7 ราย) เช่นเดียวกับยอดการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของกระทรวงแรงงานที่จะรายงานวันนี้ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 2.05 แสนราย ซึ่งน่าจะทำให้อัตราการว่างงานทรงตัว 4.9% เมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะยังหนุน FED ให้คงดอกเบี้ยนโยบายฯ ไปอีกระยะหนึ่ง และจะขึ้นดอกเบี้ยฯ ช่วงปลายปีนี้ เมื่อดัชนีชี้นำเศรษฐกิจมีสัญญาณที่ฟื้นตัวดีกว่านี้
ส่วนปัจจัยในประเทศยังคงได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ โดยเฉพาะการกระตุ้นภาคครัวเรือน ผ่านมาตรการลดหย่อนภาษีเป็นหลัก ซึ่งน่าจะดีต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับท่องเที่ยว เป็นหลัก ขณะที่แผนการลงทุนในโครงการขยายใหญ่น่าจะค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากมีขั้นตอนทางราชการและการเปิดประมูล (อ่านรายละเอียด Market Talk วันที่ 30-31 มี.ค. ที่ผ่านมา)
ระยะสั้นเชื่อว่ามีอย่างน้อย 2 ปัจจัยกดดันตลาด คือ ผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2559 ของหุ้น market cap ใหญ่ คือกลุ่ม ธ.พ. และสื่อสาร ที่มีแนวโน้มชะลอตัว ตามมาด้วยการขึ้นเครื่องหมาย XD ของหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งจะทำให้ดัชนีผันผวนมากขึ้น ดังจะได้กล่าวในย่อหน้าถัดไป
คาดว่าเดือน เม.ย. Fund Flow ยังไหลเข้าสู่เนื่องด้วยความน่าจะเป็น 70%
วานนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ด้วยมูลค่าราว 71 ล้านเหรียญ โดยซื้อทุกประเทศ ยกเว้นเกาหลีใต้ที่สลับมาขายสุทธิราว 202 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน) ทั้งนี้ประเทศที่เหลือ 4 ประเทศ ซื้อสุทธิสูงสุดนำโดย ไต้หวันราว 178 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4) ตามมาด้วยอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ราว 31 ล้านเหรียญ, 14 ล้านเหรียญ ตามลำดับ ส่วนไทยยังคงซื้อสุทธิ 50 ล้านเหรียญ หรือ 1.8 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 โดยมีมูลค่ารวมสูงถึง 1.1 หมื่นล้านบาท) ต่างกับกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่สลับมาขายสุทธิราว 1.5 พันล้านบาท
สรุปในเดือน มี.ค. พบว่า Money Supply โลกที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ส่งผลให้ Fund Flow ปริมาณมากไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชีย โดยมีมูลค่าสูงถึง 9.4 พันล้านเหรียญ จนทำให้ยอดซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปี 2559 จนถึงปัจจุบัน ของทั้ง 5 ประเทศ พลิกกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง โดยหากพิจารณาแรงซื้อหุ้นในเดือน มี.ค. ของแต่ละประเทศ พบว่า ตลาดหุ้นไต้หวันมีการซื้อสุทธิสะสมสูงสุดในภูมิภาคราว 5.1 พันล้านเหรียญ ตามมาด้วยเกาหลีใต้, ไทย, ฟิลิปปนส์ และอินโดนีเซีย มียอดซื้อสุทธิสะสมราว 3.1 พันล้านเหรียญ, 749 ล้านเหรียญ, 204 ล้านเหรียญ, 178 ล้านเหรียญ ตามลำดับ
ส่วนแนวโน้มเดือน เม.ย. คาดว่า Fund Flow จะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชียอย่างต่อเนื่องได้ในระยะสั้น ซึ่งสอดคล้องกับสถิติ ย้อนหลัง 10 ปี ที่ต่างชาติซื้อหุ้นไทยถึง 7 ใน 10 ปี นอกจากนี้ SET Index ยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึงราว 3.49% โดยมีโอกาสที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกสูงถึง 90%
ผลประกอบการ 1Q59 ธ.พ. และ ICT ไม่สดใส ยกเว้น ท่องเที่ยว ร.พ. และ ชิ้นส่วนฯ
คาดแนวโน้มผลประกอบการงวด 1Q59 ของหุ้นที่มี market cap ใหญ่อาจจะไม่ค่อยสดใส เริ่มจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ นักวิเคราะห์ได้มีการทำ earning preview แล้ว โดย SCB (FV@B132) คาดงวด 1Q59 ทำได้เพียงทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลง yoy เหตุจากการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้จากธุรกิจหลักยังทรงตัว และเชื่อว่างวด 2Q59 ยังทรงตัวเช่นเดิม ขณะที่ TISCO (FV@B50) คาดงวด 1Q59 กำไรอาจะเติบโตทั้ง qoq และ yoy จากการลดลงของค่าใช้จ่ายฯ ชดเชยรายได้จากธุรกิจหลักทรงตัว
และกลุ่มสื่อสาร คาดกำไรงวด 1Q59 ของกลุ่มฯ จะลดลงมากทั้ง yoy และ qoq สาเหตุหลัก มาจากการเริ่มรับรู้ค่าตัดจำหน่ายคลื่น 1800 MHz เต็มไตรมาสของ ADVANC และ TRUE อีกทั้งทุกรายอยู่ในช่วงเริ่มต้นลงทุนโครงข่าย 4G และโฆษณาบริการใหม่ โดย ADVANC ต้องเริ่มรับรู้รายจ่ายค่าแจกเครื่องมือถือรุ่นใหม่ ที่น่าจะเข้ามามากสุดในงวด 1Q59 เพราะเป็นช่วงที่ยังใช้คลื่น 900 MHz ได้ จึงต้องเร่งแจกให้กับลูกค้าเปลี่ยนเครื่องให้ได้มากสุด ขณะที่ DTAC หลังไม่ได้คลื่นใบอนุญาต จึง จึงต้องลงทุน 4G บนคลื่นสัมปทาน 1800 MHz ที่จะหมดอายุในอีก 2.5 ปี ต้นทุนบริการ(ไม่รวม IC) จึงสูงขึ้น
ยกเว้นหุ้นที่ market cap ขนาดเล็กที่น่าจะมีผลประกอบการเด่นใน 1Q59 คือ หุ้นโรงพยาบาล ท่องเที่ยวและโรงแรม เป็นต้น ทั้งนี้อาจจะมีผลประกอบการรายตัวในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์กล่าวคือ งวด 1Q59 กำไรสุทธิ 3.75 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.1% qoq และ 30.9% yoy เนื่องจาก SVI บันทึกเงินชดเชยจากการหยุดชะงักทางธุรกิจจากเหตุเพลิงไหม้เข้ามา 700 ล้านบาท แต่กำไรจากการดำเนินงานงวด 1Q59 ทรงตัวจากงวด 4Q58 (แต่เติบโตถึง 23.1% yoy) เนื่องจากยังคงเป็นช่วง low season
ตามมาด้วย KCE (Buy FV@B100) งวด 1Q59 จะเพิ่มขึ้น 9.3% qoq และ 42.3% yoy มาที่ 727 ล้านบาท จากคำสั่งซื้อของลูกค้าเพิ่มขึ้น และผลบวกจากการดำเนินการผลิตที่โรงงานลาดกระบังแห่งใหม่เพิ่มขึ้น หนุน gross margin สูงขึ้น
ยกเว้น DELTA (Switch FV@B90) จะทรงตัวใกล้เคียงงวด 4Q58 (แต่เพิ่มขึ้น 5.3% yoy) อยู่ที่ระดับ 1.59 พันล้านบาท เนื่องจากยังคงเป็นช่วง low season ของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนฯ และคาดกำไรจากการดำเนินงานของ HANA (Buy FV@B42) งวด 1Q59 จะอ่อนตัวลง 29.5% qoq (แต่เพิ่มขึ้น 23.5% yoy) เหลือ 530 ล้านบาท เนื่องจากคาดการณ์ gross margin งวด 1Q59 จะปรับลดลงสู่ระดับปกติที่ 14.0%
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยชื่นชอบ KCE มากที่สุด เนื่องจากธุรกิจมีการกระจายไปในธุรกิจยานยนต์สัดส่วนกว่า 70% ที่เหลือกระจายในกลุ่มอุตสหกรรม และ Smart phone ซึ่งสามารถปรับเข้ามากระแสโลกได้ดีกว่า เทียบกับ DELTA สัดส่วนรายได้หลักยังกระจุกตัว data center: โทรคมนาคม: ยานยนต์ คือ 45:25:5 และ HANA สัดส่วนรายได้ คือ อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ 15%, โทรคมนาคม 32%, ยานยนต์ 18%, การแพทย์ 2%, RFID 9% โดยคาดการณ์กำไรจากการดำเนินงานงวด 1Q59 จะอ่อนตัวลง 29.5% qoq (แต่เพิ่มขึ้น 23.5% yoy)
SET มีแนวโน้มอ่อนตัวตามหุ้น ที่ขึ้น XD ในเดือน เม.ย.
ในเดือน เม.ย. มีบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD เพื่อเตรียมจ่ายเงินปันผลเป็นลำดับถัดไป ซึ่งจากที่ฝ่ายวิจัยรวบรวม พบว่า มีมากถึง 122 บริษัท โดยบริษัทที่มีสัดส่วน Market Cap ที่มีนับสำคัญต่อ SET ที่ขึ้น XD ในเดือน เม.ย.
โดยเฉพาะในวันที่ 4 เม.ย. จะมีหุ้น Market Cap ใหญ่ขึ้น XD พร้อมกันมากถึง 3 บริษัท ซึ่งอาจกดดันดัชนีให้มีการปรับตัวลงมา (วานนี้คือ ADVANC) ซึ่งจากการวิเคราะห์เชิงปริมาณโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี พบว่ากลุ่มหุ้นปันผลสูง มักจะปรับตัวลงในช่วงสัปดาห์แรกหลังขึ้น XD ราว 0.7% ความน่าจะเป็นที่ราคาหุ้นจะลดลงสูงถึง 60% ซึ่งการปรับลดลงนี้เป็นผลมาจากทั้ง XD effect และจะมีพฤติการของการขายทำกำไรระยะสั้น เพื่อสลับไปยังหุ้นอื่น (ที่คาดว่าจะ outperform กว่า) ซึ่งพบว่าการปรับฐานของหุ้นหลัง XD น่าจะกินเวลา 1-2 สัปดาห์ (แต่หากไม่ขาย และถือต่อไป 1.5 เดือน จะมีโอกาสราว 60% ที่หุ้นปันผลสูงจะฟื้นกลับขึ้นมา โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 2.5%)
หุ้นที่คาดจะชนะตลาดใน เม.ย. : PTTEP, PTT, IRPC, BDMS, KCE, CK, ITD
ดังที่ได้กล่าวไปในวานนี้ว่า ในเดือน เม.ย. ตลาดหุ้นไทยมักให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยราว 3.5% ด้วยความน่าจะเป็นถึง 90% โดยพบว่าดัชนีกลุ่มที่สามารถชนะตลาดอย่างโดดเด่น มีดังนี้คือ กลุ่มโรงพยาบาล ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยกว่า 6% ด้วยความน่าจะเป็นถึง 90% นำโดย BDMS (ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.22% ความน่าจะเป็น 90%) ตามมาด้วย กลุ่มปิโตรเคมี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเกินกว่า 6% ด้วยความน่าจะเป็นถึง 80% และ กลุ่มพลังงาน ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ด้วยความน่าจะเป็นถึง 80%นำโดย IRPC (ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.85% ความน่าจะเป็น 70%) และหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าซึ่งอยู่ในกลุ่มพลังงาน จะนำโดย GLOW (ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.93% ความน่าจะเป็น 70%)
กลุ่มชิ้นส่วนฯ ที่ให้ผลตอบแทนกลุ่มเฉลี่ย 5% ด้วยความน่าจะเป็น 60% นำโดย KCE (ผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ด้วยความน่าจะเป็น 90%) กลุ่มอสังหาฯ และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง นั้นจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7% และ 3.5% ตามลำดับ ด้วยความน่าจะเป็น 80% เท่ากัน นำโดย PF (ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.7% ความน่าจะเป็น 80%) และ TASCO (ผลตอบแทนเฉลี่ย 9.3% ด้วยความน่าจะเป็น 60%)
นอกจากนี้ หากพิจารณารายหุ้นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนในเดือน เม.ย. มีกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง อาทิ ITD ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.42% ด้วยความน่าจะเป็นถึง 100% ตามด้วย CK ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.57% ความน่าจะเป็น 70% และหุ้นในกลุ่มอื่นๆ อาทิ TVO ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.38% ด้วยความน่าจะเป็น 60%
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์