- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 30 March 2016 18:01
- Hits: 627
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
วันนี้ ตลาดน่าจะได้ Sentiment เชิงบวก FED ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยใน 2H59 กดดัน Dollar Index อ่อนค่า หนุน SET ทดสอบ 1,400 จุด ยังเลือกรายหุ้นที่มีประเด็นบวก/ผลประกอบการเด่นงวด 1Q59 (BDMS, ERW, CENTEL, WORK, PTT, IRPC) เลือก WORK(FV@B45) และ BDMS(FV@B25) เป็น Top picks
ตลาดผ่อนคลาย คาด FED จะขึ้นดอกเบี้ยในช่วง ธ.ค. 2559
ถ้อยแถลงของนาง เยลเลน ประธาน Fed ส่งสัญญาณผ่อนคลาย ต่อการใช้นโยบายทางการเงิน เนื่องจากยังคงให้น้ำหนักต่อผลกระทบของเศรษฐกิจโลกที่ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว และการเติบโตภายในประเทศที่จำเป็นต้องเติบโตสอดคล้องกัน ระหว่างตลาดแรงงาน การผลิต และการบริโภค รวมถึงเงินเฟ้อที่จะต้องปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ถ้อยแถลงดังกล่าวเป็นการยืนยันภาพการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ว่าจะมีเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น (จาก 4 ครั้ง) ราว 0.875% ใกล้เคียงกับผลการประชุมครั้งที่ผ่านมา ซึ่งหนุนให้ตลาดประเมินว่าการประชุม Fed รอบถัดไปคือ 26-27 เม.ย. น่าจะยังคงดอกเบี้ยฯ ที่เดิม สะท้อนจาก Fed Fund Rate ล่าสุด ที่ระบุถึงความน่าจะเป็น หรือ โอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ยเดือน เม.ย. นั้น เท่ากับ 0% (ลดลงจากจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 6%) รวมถึงผลการสำรวจในการประชุมรอบเดือน มิ.ย. โอกาสขึ้นดอกเบี้ยลดลงเหลือ 28% (จากครั้งก่อนหน้าที่ 38%) แต่กลับให้น้ำหนักการขึ้นดอกเบี้ยเป็นช่วงปลายปี ในการประชุมเดือน ธ.ค. ด้วยความน่าจะเป็น 63.5% ซึ่งส่งผลทำให้ Dollar Index กลับมาแกว่งตัวอ่อนค่า ในกรอบ 95- 98 จุด หนุนตลาดหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์
รัฐกระตุ้นเศรษฐกิจต่อ...หนุน GDP Growth งวด 1H59 บวกต่อ JMART, COM7, HMPRO
ที่ประชุม ครม.วานนี้ เห็นชอบ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ซึ่งเป็นมาตรการเสริมจากแผนการกระตุ้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยวงเงินรวม 1.6 แสนล้านบาท (เทียบกับปี 2558 ที่ใช้เม็ดเงินกระตุ้นในกลุ่มนี้ 1.7 แสนล้านบาท) รายละเอียดคือ
กระตุ้นการจับจ่ายในช่วงสงกรานต์เป็นเวลา 2 สัปดาห์ (9 -17เม.ย. 59) ผ่านการนำใบเสร็จจากการกิน - ท่องเที่ยวมาลดหย่อนภาษี ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท คล้ายกับมาตรการช็อปช่วยชาติช่วงปลายปีที่ผ่านมา) และให้ต่ออายุมาตรการสนับสนุนท่องเที่ยวและโรงแรม ผ่านการนำค่าใช้จ่ายค่าที่พักโรงแรมและท่องเที่ยวในประเทศ มาลดหย่อนภาษี ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค. 2559 โดยรวม ทำให้บุคคลธรรมดาสามารถลดหย่อนภาษีรวม 3 หมื่นบาท ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อหุ้นรายกลุ่มดังนี้
หุ้นกลุ่มค้าปลีก : COM7 ([email protected]), HMPRO ([email protected]) และ ROBINS (FV@B55) ที่มีฐานลูกค้ารายได้ระดับกลาง-บน รวมทั้ง TNP ([email protected]) จากช่วงท่องเที่ยวสงกรานต์ และ JMART ([email protected]) ที่ราคาหุ้นยัง laggard
หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม : ERW ([email protected]) มีโครงสร้างรายได้หลักมาจากโรงแรมเกือบ 100% จึงคาดกำไร 1Q59 มีโอกาสทำ New High (ทั้งปี 2559 จะเติบโตสูงถึง 40%) และ CENTEL(FV@B18) ปีนี้จะเติบโต 12% แต่จากสถิติในอดีตมักจะ outperform กลุ่มฯ
มาตรการกระตุ้นระยะยาว ครม.อนุมัติโครงการรถไฟฟ้า 2 เส้น สายสีชมพู(แคราย-มีนบุรี) วงเงิน 5.6 หมื่นล้านบาท และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) วงเงิน 5.4 หมื่นล้านบาท โดยผ่านคณะกรรมการ PPP ไป และ EIA แล้ว และคาดว่าจะเปิดประมูลในช่วงเดือน มิ.ย.2559 ซึ่งจะส่งผลดีต่อ หุ้นกลุ่มก่อสร้าง อาทิ CK, ITD, STEC, UNIQ, SEAFCO เป็นต้น
โดยภาพรวม มาตรการระยะสั้นดังกล่าวเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยหนุนการบริโภค (C) ตั้งแต่ 2Q59 เป็นต้นไป ซึ่งผลของมาตรการจะคล้ายกับในช่วง 4Q58 (ที่รัฐได้ใช้มาตรการช็อปช่วยชาติทำให้ (C ) ในงวด 4Q58 โต 2.5%yoy) และน่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ 1H59 ขยายตัวสูงขึ้นจากปี 2558 เนื่องจากฐานที่ยังต่ำ ส่วนการลงทุนภาครัฐที่เริ่มเห็นความคืบหน้าจากโครงการสาธารณูปโภค อาทิ รถไฟฟ้าสายสีต่างๆ จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนในครึ่งปีหลัง ทำให้เชื่อว่า GDP Growth ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ที่ 3.5% ยังมีโอกาสเป็นไปได้
ต่างชาติปรับพอร์ตขายหุ้นในภูมิภาค แต่วานนี้กลับมาซื้อไทยอีกครั้งแต่น้อยลง
วานนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ด้วยมูลค่าสุทธิราว 342 ล้านเหรียญ แต่เป็นการเลือกซื้อเป็นรายประเทศ กล่าวคือ ยังคงขายสุทธิอินโดนีเซียราว 57 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3) และฟิลิปปินส์ ขายสุทธิเล็กน้อยราว 9 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) ส่วนที่เหลือซื้อสุทธิ คือ เกาหลีใต้ซื้อสุทธิกว่า 227 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 2 วันติดต่อกัน) ไต้หวัน ซื้อสุทธิ 160 ล้านเหรียญ และตลาดหุ้นไทย ซื้อสุทธิราว 20 ล้านเหรียญ หรือ 718 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) สวนทางกับนักลงทุนสถาบันไทยยังขายสุทธิเป็นวันที่ 3 ราว 1.2 พันล้านบาท
ส่วนทางด้านตราสารหนี้นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิราว 2.7 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิต่อเนื่องวันที่ 2) ซึ่งมีส่วนสำคัญ หนุนให้ เงินบาทยังหยุดอ่อนค่าในช่วงสั้น ๆ โดยล่าสุดอยู่ที่ 35.43 บาทต่อดอลลาร์
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
คาดว่าหุ้นที่จะชนะตลาดใน เม.ย. PTTEP, PTT, IRPC, BDMS
แม้แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ต่อเนื่องในเดือน เม.ย. ยังคงผันผวน เนื่องจากยังคงขาดปัจจัยหนุนใหม่ ๆ ก็ตาม แต่คาดว่าดัชนีน่าจะให้ผลตอบแทนเป็นบวก ทั้งนี้จากการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (QA) ใช้สถิติย้อนหลัง 10 ปี (2549-2558) พบว่าเดือน เม.ย. SET Index ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 3.35% ด้วยความน่าจะเป็น 90% และหากพิจารณาดัชนีรายกลุ่มพบว่ากลุ่มฯ ที่ให้ผลตอบแทนชนะตลาด (Outperform ตลาด) เรียงลำดับจากมากไปน้อย คือ ปิโตรเคมี พลังงาน โรงพยาบาล ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ วัสดุก่อสร้าง และ อสังหาฯ รายละเอียดดังภาพ
ผลตอบแทน และความน่าจะเกิดขึ้นใน เม.ย. ย้อนหลัง 10 ปี รายอุสาหกรรม
กลุ่มปิโตรเคมีและพลังงาน ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.86% ,4.74% ตามลำดับด้วยความน่าจะเป็น 80% เท่ากัน หุ้นเด่นรายตัวคือ PTTEP ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 5.48% ด้วยความน่าจะเป็น 100% ตามด้วย IRPC และ PTT ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.41% ,7.85% ตามลำดับ ด้วยความน่าจะเป็น เท่ากันที่ 70% สอดคล้องกับ แนวโน้มกำไรกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ที่คาดว่าจะสดใสในปี 2559 เมื่อเทียบกับ ฐานในปี 2558 ที่ต่ำมาก (ผลกระทบจากราคาน้ำมัน) และ งวด 1Q59 คาดการบันทึก ขาดทุนสต็อกน้ำมันลดลงอย่างมาก ค่าการกลั่นที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ล่าสุด 7.72 เหรียญฯต่อบาร์เรล และธุรกิจปิโตรเคมีที่ Spread ผลิตภัณฑ์สายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ ที่คาดว่าจะฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนหุ้นในกลุ่ม
กลุ่มโรงพยาบาล ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.46% ด้วยความน่าจะเป็น 90% นำโดย BDMS ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.22% ด้วยความน่าจะเป็นกว่า 90% ขณะที่คาดงวด 1Q59 จะทำกำไรสูงสุดของปี จากโรงพยาบาลที่ซื้อกิจการ มีแนวโน้มที่ดีขึ้น คือพลิกจากขาดทุนมาเป็นกำไร ราว 2 แห่ง และ ระยะสั้นยังได้รับแรงหนุนจากโรคระบาดระยะสั้น คือ มีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก ช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. 59 เพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าตัว จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.26% ด้วยความน่าจะเป็น 60% นำโดย KCE และ SVI สร้างผลตอบแทนได้ 6.99% และ 5.33% ตามลำดับ ด้วยความน่าจะเป็นเท่ากันที่ 90% ขณะที่คาดว่า กำไรสุทธิของกลุ่ม งวด 1Q59 จะเพิ่มขึ้น 30.9% yoy ด้วยเหตุผลเฉพาะบริษัทคือ SVI จะบันทึกชดเชยจากการหยุดชะงักจากเหตุเพลิงไหม้เข้ามา 700 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้ม กำไรจากการดำเนินงานของทั้ง KCE และ SVI ยังคงทรงตัว เนื่องจากยังคงเป็นช่วง Low Season ของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนฯ แต่ยังคงเห็นการเติบโตจากคำสั่งซื้อของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์