- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 29 March 2016 15:41
- Hits: 873
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ดัชนี น่าจะแกว่งในกรอบ 1,380-1,395 จุด เพราะยังขาดปัจจัยหนุนตลาดระยะสั้น กลยุทธ์การลงทุน ยังเน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากผลของฤดูกาล มีประเด็นบวกหนุน และกำไรโดดเด่นในงวด 1Q59 (BDMS, ERW, CENTEL, WORK) โดยเลือก WORK (FV@B45) เป็น Top pick
การประชุม ครม. ในวันนี้ ช่วยหนุนหุ้นกลุ่ม Domestic Play เช่น CK, JMART
ตลาดหุ้นระยะสั้นยังไม่มีปัจจัยขับเคลื่อนชัดเจน โดยความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกยังคงมีอยู่ ทั้งนี้ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงขัดแย้งกัน กล่าวคือ แม้ว่าตลาดแรงงานจะฟื้นตัวต่อเนื่อง สะท้อนจาก อัตราการว่างงานอยู่ที่ 4.9% (ต่ำสุดตั้งแต่ พ.ย.2550) หนุนการฟื้นตัวภาคครัวเรือน โดยเฉพาะตลาดบ้านฟื้นตัวต่อเนื่อง (ขณะที่ยอดค้าปลีกยังแกว่งตัว) ล่าสุด จำนวนสัญญาบ้านที่รอปิดการขาย (Pending Home Sales) เดือน ก.พ. เพิ่มขึ้น 3.5%yoy (สูงสุดตั้งแต่ ส.ค.58) สวนทางกับภาคการผลิตที่ชะลอตัว สะท้อนจาก ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ของ ISM และ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม หดตัวต่อเนื่อง 4 และ 7 เดือนตามลำดับ ขณะที่เงินเฟ้อ อยู่ที่ 1% (ห่างจากเป้าหมาย 2%) เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยกดดันให้ Fed ไม่รีบขึ้นดอกเบี้ยในช่วงนี้ สะท้อนจากผลสำรวจ Fed Fund rate ล่าสุด โอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในเดือน เม.ย.มีเพียง 6% รอบ มิ.ย. 38% โดยตลาดยังให้น้ำหนักต่อคำแถลงของประธาน Fed ในวันนี้ว่าจะมีทิศทางต่อแนวโน้มอัตราดดอกเบี้ยอย่างไร ซึ่งจะมีอิทธิผลต่อตลาดเงินและตลาดหุ้น
ในขณะที่ญี่ปุ่น หลังจากช่วงต้นปี 2559 ได้ปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากกระแสรายวัน ที่ธนาคารพาณิชย์ฝากกับธนาคารกลางฯ(BOJ) ลงเป็นติดลบ 0.1% จากเดิมที่ 0.1% มีส่วนหนุนให้ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจบางสัญญาณฟื้นตัว กล่าวคือ ยอดค้าปลีก เดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 0.5% (หลังจากติดลบต่อเนื่อง 5 เดือนติด) ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังต่ำ 0% ทำให้การใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายยังคงจำเป็นอยู่
ในส่วนของไทย วันนี้ยังให้น้ำหนักต่อการประชุม ครม. เริ่มจากโครงการรถไฟฟ้า 2 เส้น สายสีชมพู และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง)
ซึ่งจะส่งผลดีต่อหุ้น กลุ่มรับเหมาฯ CK, ITD, STEC, UNIQ, SEAFCO เป็นต้น และมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายในช่วงสงกรานต์ ให้นำใบเสร็จจากการจับจ่ายใช้สอยและท่องเที่ยวมาลดหย่อนภาษี ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท ในช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นเวลา 2 สัปดาห์ (10-17 เม.ย. 59) (คล้ายกับมาตรการช็อปช่วยชาติช่วงปลายปีที่ผ่านมา) ซึ่งจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก COM7, HMPRO, ROBINS, TNP และ JMART อีกประเด็นที่มีอิทธิพลต่อตลาด คือ กระทรวงการคลังเตรียมเสนอครม. ระดมเงินทุนผ่านกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน(Thailand Future Fund) วงเงินรวม 1 แสนล้านบาท (โดยจะทยอยระดมทุนส่วนแรกก่อน จำนวน 1 หมื่นล้านบาท จากกองทุนวายุภักษ์ และ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ) ส่วนที่เหลือคาดว่าจะมาจากแหล่งอื่น อาทิ นักลงทุนสถาบัน กองทุนของรัฐบาล ประชาชนทั่วไป โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 6-7% ต่อปี โดยจะระดมทุนภายใน มิ.ย.2559 นี้ จึงคาดว่ารัฐจะต้องมีการระดมเงินกู้ยืมเพิ่มเติม ซึ่งเท่ากับเป็นการแย่งชิงเงินออมในระบบซึ่งทำให้เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะยืนดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ไปถึงปลายปี 2559
ส่งมอบร่างรัฐธรรมนูญ วันนี้ เวลา 13:39 น. ติดตามกระแสการเมืองใกล้ชิดขึ้น
วันนี้ (29 มี.ค. 2559) คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จะส่งมอบร่างรัฐธรรมนูญให้กับคณะรัฐมนตรี โดย ในเวลา 13:39 น. นายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ จะแถลงเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ และในวันพุธที่ 30 มีนาคม 2559 ก็จะนำเสนอร่างฯ ต่อ สนช. –สปท. รวมทั้งส่วนราชการต่างๆ ซึ่งก็หมายความว่าจากนี้ไปจนถึงการลงคะแนนเสียงประชามติ ซึ่งในเบื้องต้นกำหนดเป็นวันที่ 7 ส.ค. 2559 จะไม่มีการปรับแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญอีก หากร่างรัฐธรรมนูญ ได้รับความเห็นชอบจากการทำประชามติ กระบวนการต่อไป กรธ. ก็จะเดินหน้าร่างกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับ คือ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. / ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว./ ว่าด้วยคณะกรรมการเลือกตั้ง และ ว่าด้วยพรรคการเมือง หลังจากนั้นก็จะจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 150 วัน ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน ก.ค. หรือ ส.ค. 2560
อย่างไรก็ตาม หากการลงคะแนนเสียงประชามติ ปรากฎว่าไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ เส้นทางการเมือง ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยที่ คสช. น่าจะเป็นผู้ใช้อำนาจในการกำหนดกระบวนการต่างๆ และนำไปสู่การจัดการเลือกตั้งภายในปี 2560 ซึ่งหากเป็นไปในทิศทางดังกล่าวก็อาจเป็นเครื่องสะท้อนว่าสถานการณ์การเมืองของไทย ยังเต็มไปด้วยความเห็นต่าง ซึ่งอาจจะขยายตัวเป็นปัญหาในอนาคต สถานการณ์จากนี้ไปจึงต้องติดตามกระแสทางการเมืองอย่างใกล้ชิด โดยน่าจะเห็นการแสดงความเห็นทั้ง เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ อย่างกว้างขวาง ซึ่งอาจเป็นกระแสที่สร้างแรงกดดันให้กับ SET Index ได้
แรงซื้อจากต่างชาติเริ่มเบาลง และสลับมาขายในบางประเทศ
วานนี้ภาคแม้นักลงทุนต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาค (หลังจากขายสุทธิไปเพียงวันเดียว) แต่ก็ด้วยมูลค่าบางมากเพียง 52 ล้านเหรียญ โดยเป็นการขายสุทธิใน 3 ประเทศ คือ ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ขายสุทธิราว 37 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ขายสุทธิราว 18 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 เช่นกัน) และตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ขายสุทธิเล็กน้อย 6 ล้านเหรียญ (สลับกลับมาขายวันแรก) สวนทางกับตลาดหุ้นไต้หวัน สลับมาซื้อสุทธิราว 104 ล้านเหรียญ และตลาดหุ้นไทย ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิเล็กน้อยราว 10 ล้านเหรียญ หรือ 339 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิในวันก่อนหน้า) ต่างกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิสูงถึง 3.4 พันล้านบาท
ส่วนทางด้านตราสารหนี้นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิราว 6.9 พันล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่สลับมาซื้อสุทธิราว 1.2 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิต่อเนื่อง 3 วัน)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์