- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 25 March 2016 16:48
- Hits: 892
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ดัชนี ยังผันผวน แนะนำให้ขายทำกำไรรายหุ้นที่เต็มมูลค่า มาเข้าหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ที่มี ผลประกอบการเด่นใน 1Q59 (BDMS, ERW, CENTEL) Top picks วันนี้ BDMS(FV@B25) และ WORK(FV@B45) ซึ่งคาดปีนี้กำไรโดดเด่นจากการปรับค่าโฆษณาได้ดีกว่าคู่แข่งขัน แม้ Rating จะอยู่ลำดับ 3 จึงมีโอกาสปรับเพิ่มกำไรขึ้น
การลงทุนรัฐล่าช้า เป็น sentiment เชิงลบต่อหุ้นก่อสร้าง แต่เป็นโอกาสสะสม CK
ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวล่าช้า ความหวังที่จะให้การลงทุนรัฐเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็ดูจะถูกเลื่อนออกไป ล่าสุดพบว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงขนาดราง 1.435 เมตร เส้นกรุงเทพ–หนองคาย และแก่งคอย– มาบตพุด วงเงิน 3.69 แสนล้านบาท (ซึ่งเป็น 1 ใน 20 โครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่รัฐบาลวางไว้ปี 2559 -2560 วงเงินรวมทั้งสิ้น 1.8 ล้านล้านบาท ) มีอันต้องเลื่อนกำหนดออกไปจากแผนเดิม 4-5 เดือน (เดิมคาดลงทุนในช่วงกลาง ปี2559) เนื่องจากไม่สามารถหาข้อสรุป การร่วมทุนกับทางการจีนได้ จึงทำให้รัฐบาลไทย ตัดสินใจดำเนินการลงทุนเองทั้งหมด แต่ยังคงว่าจ้างจีนเป็นผู้รับเหมางาน (แต่ต้อง subcontract การก่อสร้างให้กับผู้รับเหมาไทยทั้งหมด)
เนื่องจากความไม่ชัดเจนตลอดช่วงที่ผ่านมา ทำให้นักวิเคราะห์ ASPS มิได้รวมไว้ในประมาณการ แต่คาดว่า ความล่าช้าดังกล่าว อาจจะเป็นเพียง Sentiment เชิงลบระยะสั้น ขณะเดียวกันคาดว่ารัฐบาลน่าจะเร่งรัดก่อสร้างลงทุนในโครงการเร่งด่วน โดยเฉพาะโครงการ PPP Fast track ซึ่งมีมูลค่า 3.34 แสนล้านบาท ซึ่งในสัปดาห์หน้า 29 มี.ค. กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอให้ครม.อนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) วงเงิน 5.6 หมื่นล้านบาท และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) วงเงิน 5.4 หมื่นล้านบาท (โครงการเหล่านี้ได้ผ่านคณะกรรมการ PPP ไปแล้ว) หาก ครม. อนุมัติ คาดว่าจะใช้เวลาร่างทีโออาร์และดำเนินการประกวดราคาไม่เกิน 3 เดือน และราวเดือน ก.ค.-ส.ค. คาดว่าจะหาผู้รับเหมาได้
WORK เติบโตโดดเด่น สวนกระแสเม็ดเงินโฆษณาโดยรวมที่ชะลอตัว
แม้กลุ่มมีเดียจะยังเผชิญกับเม็ดเงินโฆษณาของสื่อโดยรวมชะลอตัว ตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว แต่พบว่ามีผู้ประกอบการทีวีดิจิตัลบางราย สามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดผู้ชมได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่อง WORKPOINT ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 7.6% ในงวด 1Q58 มาอยู่ที่ 11% ในช่วง 1-13 มี.ค. 59 เป็นผลให้ รายได้ค่าโฆษณาเฉลี่ยต่อนาทีขึ้นมาอยู่ที่ 4.8 หมื่นบาท จาก 3 หมื่นบาท ในงวด 1Q58 และ 3.6 หมื่นบาท ในงวด 4Q58
และแม้ไตรมาสแรกของทุกปีเป็นช่วงนอกฤดูกาล ส่งผลให้อัตราใช้เวลาโฆษณาลดลงโดยงวด 1Q59 เหลือ 60% (ใกล้เคียงกับ 1Q58) จาก 80% งวด 4Q58แต่โดยรวมคาดว่ารายได้ค่าโฆษณาในงวด 1Q59 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 60%
และทำให้กำไรงวด 1Q59 อยู่ที่ 30 ล้านบาท พลิกจากที่มีขาดทุน 11 ล้านบาท ในงวด 1Q58 และเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากงวด 4Q58 ที่มีกำไรเพียง 3 ล้านบาท เพราะมีการบันทึกโบนัสจ่ายครั้งเดียวทุกไตรมาส 4 และรวมผลกระทบจากการปรับปรุงวิธีบันทึกบัญชีใบอนุญาตทีวีดิจิทัล (จากเดิมที่ให้ตัดจ่าย 15 ปี แบบเส้นตรงบนมูลค่าใบอนุญาต เป็นการจัดจ่ายตามมูลค่าปัจจัยของใบอนุญาต บวก ดอกเบี้ยจ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 6 ปีแรกที่กำหนดช่วงเวลา การชำระใบอนุญาต)
ทั้งนี้ส่วนแบ่งผู้ชมที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง คาดรายได้ค่าโฆษณาเฉลี่ยต่อนาทีของ WORK จะขยับขึ้นได้ทุกไตรมาส และทำให้รายได้ค่าโฆษณาเฉลี่ยต่อนาทีทั้งปี 2559 สูงถึง 5 หมื่นบาท ตามเป้าที่ WORK กำหนดไว้
ขณะที่ WORK ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ที่ 3 พันล้านบาท อัตรากำไรสุทธิที่ 11% คิดเป็นกำไรสุทธิ 330 ล้านบาท ใกล้เคียงกับประมาณการของฝ่ายวิจัย โดยเป้าหมายกำไรดังกล่าว ได้รวมรายจ่ายส่วนเพิ่มค่าธรรมเนียม 2% ของรายได้ที่จะส่งเข้ากองทุนพัฒนาสื่อฯ ซึ่ง กสทชได้มีการยกเว้นเรียกเก็บเงินดังกล่าวมาตั้งแต่แรกจนถึง 2558 และ น่าจะเริ่มจัดเก็บในปี 2559 เป็นปีแรก
อย่างไรก็ตาม หากกสทช. กำลังพิจารณาเลื่อนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าว ซึ่งมีการเลื่อนการจัดเก็บ ฯ คาดว่า กำไรสุทธิจะมีโอกาสสูงกว่านี้ราว 50 ล้านบาท และทำให้ฝ่ายวิจัยต้องทบทวนปรับประมาณการและ Fair Value ของ WORK อีกครั้ง โดยภายใต้ประมาณการปัจจุบัน คาดกำไรสุทธิปี 2559 จะเติบโตจากปีก่อนหน้าเกิน 100% อีกทั้งยังคาดว่าจะเห็นการเติบโตในระดับสูงต่อเนื่องในช่วง 3 ปีนี้ จะการปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณา ด้วยผลของเรตติ้งผู้ชมที่ยังขยับขึนต่อเนื่อง ขณะที่ Fair Value ปัจจุบันอิงวิธี DCF อยู่ที่ 45 บาท ยังมี Upside 20% WORK จึงถือเป็น Top Pick ของกลุ่มมีเดียส์
ต่างชาติเริ่มชะลอตัว กดดันค่าเงินเอเชียอ่อนค่าทั้งภูมิภาค
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่าขึ้นราว 1.5% ในช่วง 6 วันที่ผ่านมา น่าจะกดดันให้แรงซื้อหุ้นในภูมิภาคของนักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มชะลอตัวลง และอาจจะสลับมาขายในระยะสั้น ขณะที่ตลาดหุ้นเอเซียวานนี้ปิดทำการ 1 แห่ง เนื่องจากวันอีสเตอร์ (ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์) โดยภาพรวมแล้วพบว่า นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคในอัตราที่ลดลง มีมูลค่าราว 128 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 21) ยกเว้นตลาดหุ้นอินโดนีเซียที่ถูกสลับมาขายสุทธิราว 9 ล้านเหรียญ ส่วนตลาดหุ้นที่เหลือยังคงถูกซื้อสุทธิ คือ ตลาดหุ้นไต้หวันซื้อสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 85 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 20) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ซื้อสุทธิราว 36 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 11) และไทยต่างชาติซื้อสุทธิราว 16 ล้านเหรียญ หรือ 573 ล้านบาท (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3) เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิราว 602 ล้านบาท
ส่วนทางด้านตราสารหนี้นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิเพียง 759 ล้านบาท ต่างกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิราว 5.6 พันล้านบาท (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) กดดันให้บาทอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 35.37 บาท/ดอลลาร์
กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น สลับมาลงทุนหุ้นกลาง-เล็กที่มีกำไรโดดเด่นงวด 1Q59
วานนี้ SET Index ปรับฐานลง แต่ยังไม่หลุด 1,400 จุด เช่นเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐ และยุโรป เริ่มเห็นสัญญาณการพักตัวขึ้นมาบ้าง เช่นเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งน้ำมันดิบและน้ำตาล ราคาปรับลดลงมาจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเป็นเพียงช่วงสั้นเท่านั้น หลังจากเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องกว่า 3.4% นับตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา โดยคาดว่า Dollar Index ยังคงแกว่งตัวในกรอบ 94 – 98 จุด
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น นับจากต้นปีถึงปัจจุบัน ดัชนีให้ผลตอบแทนสูงถึง 9.1% สุงสุดในภูมิภาค โดยกลุ่มที่สามารถให้ผลตอบแทนชนะตลาด ได้แก่ สื่อสาร (20.1%), ธ.พ. (15.5%), ปิโตรฯ (14.0%), พลังงาน (12.5%), ค้าปลีก (11.6%), ชิ้นส่วนฯ (11.3%) ขนส่ง (10.7%) และส่งออกอาหาร (9.8%) ขณะที่ ณ ระดับดัชนีปัจจุบัน อิง EPS ตลาดที่ 90.25 บาท ทำให้ได้ Expected P/E ที่ 15.6 เท่า ทำให้ upside ที่ฝ่ายวิจัยประเมินดัชนี ณ สิ้นปีที่ 1,465 จุด เหลือจำกัด 4% (อิง P/E 16.2 เท่า) จึงยังคงแนะนำปรับ portfolio จากหุ้นที่ราคาปัจจุบันเกินมูลค่าพื้นฐาน หรือมี upside เหลือน้อย สลับไปลงทุนในหุ้นที่ยัง underperform กว่าตลาด เพราะเชื่อว่าน่าจะสามารถกลับมา outperform ได้หลังจากนี้ พร้อมมีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนจากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในงวด 1Q59 ดังนี้
กลุ่มโรงพยาบาล ยังคงชอบ BDMS (FV@B25) ที่โดดเด่นสุดเนื่องจากมีโรงพยาบาลกระจายตัวมากสุด ในงวด 1Q59 คาดว่าจะทำกำไรสูงได้สูงสุดของปีนี้ LPH ([email protected]) คาดว่ากำไรน่าเติบโตได้สูงกว่า 100% จากฐานกำไรที่ต่ำในงวด 1Q58 เนื่องจากได้มีการเปิดศูนย์จักษุวิทยาอย่างเต็มรูปแบบ (ทยอยเปิด 4Q58 ซึ่งพบว่ากำไรสุทธิในงวดนี้เติบโตถึง 35%yoy)
กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม แนะนำ ERW ([email protected]) คาดกำไร 1Q59 มีโอกาสทำ New High โดยทั้งปี 2559 จะเติบโตสูงถึง 40% อีกทั้งราคาหุ้นมี upside มากสุดในกลุ่มฯ รองลงมาคือ CENTEL (FV@B18) คาดปีนี้จะเติบโต 12%
กลุ่มมีเดีย แนะนำ WORK (FV@B45) คาดกำไรงวด 1Q59 สดใส ค่าโฆษณาตั้งแต่ต้นปีเติบโตถึง 60%yoy จาก rating ที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดปีนี้กำไรเติบโตกว่า 1 เท่าตัว (ติดตามอ่านได้ใน Equity Talk เช้านี้)
กลยุทธ์การลงทุนงวด 2Q59 คาด SET ยังแกว่งตัวขึ้น
เมื่อวานนี้สายงานวิจัยได้ออกบทวิเคราะห์รายไตรมาส Investment+ 2Q59 (รายละเอียดตามที่ปรากฏใน mail) โดยเนื้อหาโดยสรุป คือ แม้ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงถึง 7% ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ นับว่าสูงสุดในภูมิภาค โดยการขับเคลื่อนของกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ธ.พ. สื่อสาร และค้าปลีก ซึ่งพลิกฟื้นกลับมาหลังติดลบในปีที่แล้ว จากแรงหนุน Fund Flow ที่คาดว่ายังคงเข้ามาซื้อสะสมอย่างต่อเนื่อง ตราบที่การใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายหนุนให้ปริมาณเงินโลกเพิ่มขึ้น ประกอบกับต่างชาติได้ขายสุทธิตลาดหุ้นไทยมานานกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ขายสุทธิสะสมกว่า 4 แสนล้านบาท
และเมื่ออิง EPS ตลาดปี 2559 อยู่ที่ 90.25 บาท เติบโตมากถึง 30% จากฐานกำไรในปี 2558 ที่ต่ำผิดปกติ และกำหนดดัชนีเป้าหมายปี 2559 อ้างอิง Market Earning Yield Gap ที่ 4.75% จะได้ดัชนีเป้าหมายสิ้นปี ได้ที่ 1,465 จุด (P/E 16.2 เท่า) แม้มี upside จำกัดราว 5% แต่กลยุทธ์การลงทุนน่าจะเป็นการสลับหมุนเวียนจากหุ้นใหญ่ในกลุ่มสื่อสาร โรงกลั่น มายัง ธ.พ. ปิโตรเคมี และหุ้นกลาง และ ขนาดเล็ก โดยหุ้นแนะนำในไตรมาสนี้มีดังนี้
หุ้นที่มีแนวโน้มผลการดำเนินงานเติบโตโดดเด่น อาทิ BDMS, BJCHI, ANAN, ERW, WHA, LPH,
หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการภาครัฐ CK, KBANK, LIT และ
หุ้น Global ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของราคาน้ำมันโลก เช่น PTT, IRPC
ส่วนหุ้นต่างประเทศ แนะนำ AIA และ Daimler และ กองทุนต่างประเทศ แนะนำ ASP-Europe Value และ MS-Asian SM
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์