- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 24 March 2016 17:06
- Hits: 1125
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"เลือกซื้อ/ถือหุ้นดีเมื่อ SET ไม่หลุด 1390"
Stock Picks-Mar 2016 : Fundamental : BA, EPG, ERW, GL, PTT
Fundamental Pick -Today: AOT(ดู Theme ลงทุนด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, SNC, TCAP, TMT, BTSGIF, DIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : BEC 32%, CENTEL 16%
Technical View ภาพตลาดเป็นบวก
Support Resistance Stop Loss
SET ซื้อค่าบวก 1420-1430,1450 ค่าลบ
SET50 ซื้อค่าบวก 920-930,950 ค่าลบ
Technical Picks - Today KKP, SCC, EPG, SCI, BA, TU, CBG, BCH
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : JASIF (จากซื้อเป็น ถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นต่อและปิดเหนือ 1400 จุด (+14.96 จุดที่ 1412.16 จุด) โดยนักลงทุนเพิ่มการลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์และพลังงาน ซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวจังหวะอ่อนตัว รวมไปถึงเลือกซื้อหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่มีแนวโน้มธุรกิจดีในปี 2559 นักลงทุนสถาบันในประเทศ ต่างประเทศ พอร์ตบล.ซื้อสุทธิกลุ่มละไม่มาก ส่วนรายย่อยขายสุทธิ 1.1 พันล้านบาท
กนง.มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% ตามคาด และปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ปี 59 เป็น 3.1% จากเดิม 3.5% สะท้อนการส่งออกที่ซบเซากว่าคาด และในปี 60 ก็คาดว่าจะเติบโตเพิ่มไม่มากเป็น 3.3% เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและไทยในรอบนี้จะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป (ไม่เหมือนช่วงปี 2551 ที่เป็น V-Shape) สำหรับหุ้นกลุ่มพลังงาน ประเมินว่ายังคงผันผวนไปตามราคาน้ำมันดิบที่การปรับขึ้นถูกจำกัดด้วยอุปทานที่สูงและโอกาสความเป็นไปได้ในการร่วมมือกันตรึงปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของผู้ผลิตรายใหญ่ยังไม่มาก ส่วนกลุ่มที่อิงกับอุปสงค์ภายในประเทศคาดว่าจะขยายตัวไม่สูง (เหมือนเศรษฐกิจ) แต่ก็ยังสามารถเลือกซื้อลงทุนในหุ้นที่เติบโต Outperform กลุ่มและตลาดโดยรวมได้ (ดูรายละเอียดและหุ้นแนะนำในหน้า 2) กลุ่มอุตสาหกรรมที่ไปได้ดีและขยายตัวสูงในช่วง 1Q59 คือ ท่องเที่ยว & โรงแรม โดยปริมาณนักท่องเที่ยวและผู้ใช้บริการสนามบินเติบโตเป็นเลขสองหลักในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ.59 และมีโมเมนตัมที่ดีต่อเนื่อง เหตุการณ์ระเบิดในเบลเยียมกระทบจำกัดมาก หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้ยังคงเป็น AOT
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมเป็นบวก ให้แนวต้านระยะสั้นไว้ที่ 1420-1430, 1450 จุด แนวฟิวเตอร์ที่ไม่ควรหลุด 1390 จุด ส่วน SET50 มีแนวต้าน 920-930, 950 จุด แนวฟิวเตอร์ที่ไม่ควรหลุด 900 จุด การเก็งกำไรตามรอบเน้นซื้อตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้นและดัชนี ส่วนการลงทุนระยะยาว แนะนำให้ทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดี โดยเฉพาะจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว
สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดี และมีโอกาสทำ New High หุ้นเข้ามาใหม่เป็น TOP, SCC, CPN, LPH ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List และหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้น คือ IRPC, VGI, BEAUTY, SYNEX, BA, IMPACT, KKP หุ้นที่หาจังหวะขายทำกำไรคือ NPP, TPIPL, BRR
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : ยอดขายบ้านใหม่ก.พ.ดีกว่าคาด กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่ายอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 2.0% ในเดือนก.พ. สู่ระดับ 512,000 ยูนิต สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 510,000 ยูนิต
สหรัฐ : จับตาตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในวันพฤหัส-ศุกร์นี้ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.พ., PMI ภาคการผลิตเดือนมี.ค.ที่สำรวจโดยมาร์กิต และประมาณการ GDP ครั้งสุดท้าย และการใช้จ่ายเพื่อบริโภคส่วนบุคคลประจำ 4Q58
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนี DJIA ปิดลดลง 0.45% กดดันโดยราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลง ซึ่งเป็นผลจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่เพิ่มขึ้นเกินคาด รวมทั้งมีควันหลงความกังวลกับภัยก่อการร้ายหลังจากเกิดเหตุการณ์ระเบิดที่เบลเยียมเมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา
- น้ำมันดิบ : สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้นเกินคาด ทางสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐรายสัปดาห์สิ้นสุด 18 มี.ค. พุ่งขึ้น 9.4 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.7 ล้านบาร์เรล สอดคล้องกับตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบที่รายงานโดย API ที่เพิ่มขึ้น 8.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ก่อน เมื่อคืนนี้สัญญาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT ปิด -1.66 และ 1.32 ดอลลาร์ ที่ 39.79 และ 40.47 ดอลลาร์/บาร์เรล ตามลำดับ
น้ำมันดิบ : ติดตามว่าการประชุมกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 17 เม.ย.นี้ ว่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ เพราะขณะนี้อิหร่านและลิเบียประกาศว่าจะไม่เข้าร่วมประชุมเพราะต้องการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นทดแทนในช่วงที่อิหร่านถูกคว่ำบาตรและลิเบียมีปัญหาการเมือง
- ราคาทองคำ : ร่วงลงจากดอลลาร์แข็งค่า โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนเม.ย.ปิด -24.60 ดอลลาร์ แตะระดับ 1,224 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งแรงกดดันมาจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ
- เงินดอลลาร์สหรัฐ : แข็งค่าขึ้น (ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ขยับขึ้นเป็น 96.2 ในเช้าวันนี้) ทั้งนี้ในระยะสั้นได้รับการกระตุ้นจากประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก ที่ออกมากล่าวว่าเขาจะสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนเม.ย.หรือเดือนมิ.ย.ปีนี้ รวมทั้งประธานเฟดสาขาแอตแลนต้าก็มีมุมมองในทางเดียวกันว่าเฟดอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือนเม.ย.59 ทั้งนี้เฟดมีกำหนดการประชุมคณะกรรมการนโยบายครั้งต่อไปในวันที่ 26-27 เม.ย.59 และ 14-15 มิ.ย.59 ตามลำดับ
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
ไทย : กนง.คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% คาดเศรษฐกิจปีนี้โตลดลงเป็น 3.1% เมื่องานนี้ (23 มี.ค.) คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% แต่ปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยปี 59 เติบโตลดลงสู่ระดับ 3.1% จาก 3.5% และปี 60 ขยายตัว 3.3% หลังประเมินส่งออก -2.0% (เดิม 0%) ในปี 59 แล้วค่อยเป็น +0.1% ในปี 60 ในด้านการบริโภคภาคเอกชนปี 59 คาดว่าจะ +1.8% และการลงทุนภาคเอกชน +2.4% การลงทุนภาครัฐ +10.7% (Key Growth) โดยใช้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบ BRENT 37.3 ดอลลาร์/บาร์เรล
เรายังคงให้น้ำหนักลงทุน Neutral ในกลุ่ม Domestic Play เพราะประเมินว่ากำไรของกลุ่มนี้จะเติบโตไม่มาก ใกล้เคียงกับเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีหุ้นหลายบริษัทที่คาดการณ์ว่าจะมีกำไรสุทธิขยายตัวได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยและมากกว่า 10% ในปี 59 (Outperform อุตสาหกรรมและตลาดโดยรวม)
ซึ่งหุ้นดังกล่าวใน DBSV Coverage ได้แก่ KTB, TCAP, CPALL, EPG, PREB, SCC, TRC, MTLS, ILINK, CPN, WHA, TMT, EWR, BA และ BEM เป็นต้น โดยหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีระยะกลางด้วย คือ BA (ราคาพื้นฐาน 27.6 บาท), EPG (ราคาพื้นฐาน 17 บาท), CPN (ราคาพื้นฐาน 58 บาท) และ ERW (ราคาพื้นฐาน 5.3 บาท)
กลุ่มพลังงาน : ระยะสั้นหุ้นยังคงผันผวนตามราคาน้ำมันดิบ ซึ่งขณะนี้อุตสาหกรรมน้ำมันดิบโดยรวมยังเผชิญกับภาวะอุปทานล้น เพราะปริมาณการผลิตน้ำมันดิบยังคงสูง และโอกาสความเป็นไปได้ที่จะตรึงปริมาณการผลิตน้ำมันจริงๆก็น้อย เนื่องจากแต่ละประเทศก็ต้องการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มในช่วงที่ราคาขยับขึ้น ซึ่งก็จะทำให้ราคาอ่อนลงมาอีก เราประเมินว่าเหตุการณ์จะเป็นไปอย่างนี้จนกว่าอุปสงค์และอุปทานจะเข้าใกล้ภาวะสมดุลจึงจะทำให้ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งน่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ไตรมาส
กลยุทธ์การลงทุนกลุ่มพลังงาน ในระยะสั้นเน้นการซื้อขายตามรอบไปก่อน แต่ถ้ามีหุ้นพลังงานที่ต้นทุนต่ำ (คือ ซื้อหุ้นช่วงราคาน้ำมันดิบ BRENT 30+/- ดอลลาร์/บาร์เรล) แล้วต้องการถือลงทุนระยะยาวก็สามารถทำได้ เพราะเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบในระยะยาวจะสูงกว่าที่เป็นอยู่ในวันนี้ที่ BRENT เท่ากับ 40 ดอลลาร์/บาร์เรล หุ้นเด่นในกลุ่มนี้เป็น PTT (ราคาพื้นฐาน 320 บาท), PTTGC (ราคาพื้นฐาน 70 บาท) และ BCP (ราคาพื้นฐาน 39 บาท)
+ AOT (ราคาปิด 397 บาท) : บอร์ดมีมติขยายสนามบินดอนเมืองเฟส 3 (ปี 60-68) วงเงินลงทุน 2.74 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายกำลังรองรับผู้โดยสารเป็น 40 ล้านคน/ปี โดยจะเสนอให้สศช.และครม.พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป สำหรับโครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 ใช้เงินลงทุน 5.2-5.5 หมื่นล้านบาท เริ่มทยอยเปิดประมูล โดยจะเปิดประมูล 4 งานในปีนี้ (เปิดประมูลไปแล้ว 2 งาน) ด้านผลดำเนินงานบริษัทยังแข็งแกร่ง โดยเดือนม.ค.-ก.พ.ปริมาณผู้โดยสารเพิ่ม 15% และ 16% ตามลำดับ (สมมติฐานที่ใช้ในปีนี้อยู่ที่ +11.1%) รายได้ค่าแลนดิ้งและจอดเครื่องบิน (13% ของรายได้รวม) ก็เติบโตดีในปีนี้ หนุนโดยปริมาณที่เพิ่มและอัตราค่าบริการที่ขยับขึ้น รายได้ค่าสัมปทานและเช่าพื้นที่ก็ขยายตัวด้วย (มาจากอัตราส่วนแบ่งรายได้ที่เพิ่ม 1% ตามสัญญาสัมปทาน Duty-free และมีรายได้ค่าเช่าพื้นที่อาคาร 2 ของสนามบินดอนเมืองเข้ามาเพิ่มด้วย) คาดการณ์ Core Profit ปี 59-60 เติบโต 26% และ 18% ตามลำดับ ฝ่ายวิจัยฯ DBSV คงคำแนะนำซื้อ AOT และปรับราคาพื้นฐาน เพิ่มเป็น 470 บาท (DCF)
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค -
[email protected]