- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 21 March 2016 18:07
- Hits: 1587
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+) ตลาดหุ้นต่างประเทศ DJIA +120.81, NASDAQ +20.66, S&P +8.99, FTSE -11.48, CAC +19.62 และ DAX +58.60
ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้น โดยตลาดยังคงตอบรับในเชิงบวกต่อผลการประชุมเฟด ที่มีแนวโน้มกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป โดยเฟดยังคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ในช่วง 0.25-0.50% และคาดว่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเพียง 2 ครั้ง ภายในสิ้นปี 2016 ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯกระตุ้นให้นักลงทุนต้องการเสี่ยงมากขึ้น
ในขณะที่สหรัฐฯเปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในช่วงต้นเดือน มี.ค.ลดลงเกินคาดสู่ระดับ 90.0 จาก 91.7 ในช่วงท้ายเดือน ก.พ.
ส่วนตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการฟื้นตัวของหุ้นในกลุ่มส่งออกและกลุ่มยานยนต์ ในขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานมีราคาลดลงตามการลดลงของน้ำมันดิบ
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน เม.ย. -US$0.76 อยู่ที่ US$ 39.44ต่อบาร์เรล โดยได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่าจำนวนแท่นขุดเจาะของสหรัฐฯเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 13 สัปดาห์ ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานล้นตลาดอีกครั้ง
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน เม.ย. -US$10.7 อยู่ที่ US$ 1,254.3ต่อออนซ์ ซึ่งเนไปตามการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
(+) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ +3,645 ล้านบาท สะสม YTD +7,886 ล้านบาท (ปี'57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,584 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ)
ประเด็นที่ต้องติดตาม 21 - 25 มี.ค. 2559
21/3/59 : สหรัฐฯ เปิดเผย
(1) ดัชนีกิจกรรมการผลิตทั่วประเทศเดือน มี.ค.
22/3/59 : ไม่มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ
23/3/59 : ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน - กนง.
(อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ล่าสุด 1.50%)
24/3/59 : สหรัฐฯ เปิดเผย
(1) ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน
25/3/59 : สหรัฐฯเปิดเผย
(1) ประมาณการ GDP ไตรมาส 4/2015
ทิศทางตลาด
ภาพตลาดยังคงผันผวน? คาดมีโอกาสปรับลดลง ตามการอ่อนตัวของราคาน้ำมันดิบ ในขณะที่ผลการประชุมเฟดจะออกมาคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด แต่ตลาดได้ตอบรับไปแล้ว ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย หลังจาก ECB ส่งสัญญาณว่ามีออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อย โดยล่าสุดค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 34.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และทิศทางยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ภายใต้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อเนื่องของธนาคารกลางหลายๆ ประเทศ รวมถึงการใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ คาดยังส่งผลดีต่อ Fund Flow ที่คาดไหลเข้าสู่ภูมิภาค และรวมถึงไทย
ในขณะที่เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มชะลอตัว โดยล่าสุด ครม. เตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ประกอบด้วย 1) เติมเงินอีก 7 หมื่นล้านบาท ลง 7 หมื่นหมู่บ้าน 2) ลดหย่อนภาษี-คืนแว็ตช้อปสินค้าโอทอป 3) บ้านประชารัฐจะเข้า ครม. 22 มี.ค. นี้ และ 4) ปัดฝุ่นนโยบาย เงินโอน แก้จน คนขยัน
นอกจากนี้คาดมีแรงชายทำกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันล่าสุดที่อ่อนตัวลง โดยล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบทรงตัวอยู่ที่ 37 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
นอกจากนี้ยังแนะจับตา
(1) กลุ่มการบิน ที่คาดราคามีโอกาสฟื้นตัว หลังสายการบินของไทยผ่านการประเมินของสำนักงานบริหารความปลอดภัยด้านการบินของสหภาพยุโรป (EASA) และสามารถบินได้ตามปกติ และช่วง High Season ของการท่องเที่ยว คาดส่งผลดีต่อ BA, AAV
(2) กลุ่มพลังงาน PTT และ PTTEP อาจมีแรงขายทำกำไร จากความกังวลอุปทานล้นตลาด
(3) หุ้นกลุ่มโรงกลั่น เช่น IRPC, TOP และ SPRC จะได้รับผลบวกจากค่าการกลั่นที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในช่วง 1Q/59 และคาดจะไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันจำนวนมากอีก
(4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากโครงการก่อสร้างของภาครัฐ เช่น SCC, SCCC และ TPIPL เป็นต้น โดยเฉพาะใน 2H/59 ที่คาดความต้องการดีกว่า 1H/59
(5) หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม (MINT, CENTEL) และ AOT จากแนวโน้มการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น และเข้าสู่ช่วง High season ใน 4Q/58 - 1Q/59
(6) กลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL, HMPRO และ ROBINS ที่คาดได้รับประโยชน์หลังรัฐบาลอัดฉีดกำลังซื้อรากหญ้าอย่างต่อเนื่อง จากโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเกษตรกร 3 โครงการวงเงิน 93,000 ล้านบาท
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี -0.03 อยู่ที่ 1.87% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.'54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -0.42 อยู่ที่ 14.02
หุ้นแนะนำ : IRPC
หุ้นแนะนำ
IRPC : ราคาเป้าหมาย 5.60 บาท
โครงการ UHV เป็นหนึ่งในโครงการฟีนิกซ์ เพื่อปรับปรุงการผลิต โดยหลังจากโครงการนี้เสร็จสิ้น IRPC จะมีผลผลิตน้ำมันเตาซึ่งมีค่าการกลั่นติดลบ ลดลงจาก 23% เป็น 8% โดยจะได้ผลผลิต propylene จำนวน 320,000 ตันต่อปี แต่ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาจะเปลี่ยนโหมดไปเป็นการผลิตน้ำมันเบนซิน เนื่องจากค่าการกลั่นที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ IRPC ยังอยู่ระหว่างสร้างโรงงาน PP เพิ่มเติมเพื่อรองรับ propylene ที่ได้จากโครงการนี้ การต่อยอดจึงจะเสร็จสมบูรณ์ในช่วง 3Q/60
IRPC ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจชั้นนำจากต่างประเทศ ร่วมกันทำโครงการ Everest ซึ่งเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพในหลายๆ ด้านทั้งการผลิต การตลาด และการจัดซื้อ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการประยุกต์ใช้ best practices ในธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีระดับโลก โดย IRPC ตั้งเป้าผลประโยชน์จากโครงการนี้ไว้ที่ประมาณ 300 M.USD (ประมาณ 10,500 ล้านบาท)
คาดผลการดำเนินงานปี '59 จะมีกำไรสุทธิ 10,454 ล้านบาท และคาดว่าจะไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันอีก ในขณะที่จะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ ประเมินราคาเป้าหมายปี '59 อยู่ที่ 5.60 บาท
นักวิเคราะห์ : ศักดิ์นรินทร์ ศศานนท์ โทร.02-684-8789