- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 21 March 2016 17:59
- Hits: 1064
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
กลุ่ม ICT ได้รับผลดีหาก JAS ไม่มาตามนัด และ Dollar อ่อนค่า ยังคงหนุนสินทรัพย์เสี่ยงทำให้ SET มีโอกาสแตะ 1,390 จุด ยังเน้นหุ้น Global (PTT, PTTEP, PTTGC, SCC) และหุ้นที่กำไรเด่นใน 1Q59 (BDMS, ERW, IRPC, CENTEL) Top pick คือ BDMS(FV@B25) และลงทุนระยะสั้น LPH(FV@B8)
ถึงวันสุดท้ายถ้า JAS ไม่จ่ายค่าประมูลคลื่น 900 ดีต่อ ICT : ADVANC ยังเด่นสุด
วันนี้ (21 มี.ค.) เป็นกำหนดเส้นตายที่ JAS จะต้องมาจ่ายค่าใบอนุญาต 4G คลื่น 900 MHz ซึ่ง หากยึดตามที่ฝ่ายวิจัยได้เคยนำเสนอมาตลอดว่า การที่ JAS เข้าสู่ธุรกิจมือถือนั้นจะต้องเผชิญปัญหาอย่างหนัก เพราะอยู่ในฐานะเสียเปรียบผู้ประกอบการรายเดิมที่มีอยู่ทั้ง 3 ราย ทั้งในเรื่องต้นทุนใบอนุญาต คลื่น 900 MHz ที่สูงถึง 7.5 หมื่นล้านบาท (ยังไม่รวมต้นทุนโครงข่าย) และ ยังไม่มีฐานลูกค้ามือถือ ยกเว้น Internet ความเร็วสูงที่อยู่ 2 ล้านรายที่จะนำมาต่อยอดในช่วงแรกๆ เชื่อว่าโอกาสแย่งชิงเป็นเรื่องที่ยากมาก ที่สำคัญ JAS จะพลิกจากกำไร เป็นขาดทุนกว่า 4.7 พันล้านบาท ในปีนี้ และขาดทุนต่อเนื่องอีก 5.6 และ 5 พันล้านบาท ในปี 2560 และ 61 ตามลำดับ และยังขาดทุนต่อไปอีกหลายปีหลังจากนี้
แต่วันนี้หาก JAS ไม่สามารถมาชำระเงินได้ (ถูกยึดเงินวางประกันกว่า 600 ล้านบาท และ อาจจะถูก บทลงโทษจากทาง กสทช.) แต่กลับเป็นข่าวดีต่อ JAS ที่ผลการดำเนินงานยังคงมีกำไรจากธุรกิจอินเตอร์เน็ตราวปีละ 3 พันล้านบาท ในปี 2559-60 และ จะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมโดยรวมที่จะไม่กดดันให้การแข่งขันรุนแรงมากไปกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และ จะทำให้ Fair Value ของ JAS จะกลับมาที่เดิมคือ 5 บาท (จากปัจจุบันที่ 2.8 บาท) แต่ยังไม่รวมผลกระทบที่อาจจะถูก กสชท ฟ้องเรียกค่าเสียหาย หากการประมูลคลื่น 900 ในอนาคต ต่ำกว่ามูลค่าที่ JAS เคยประชุมชนะดังตัวเลขข้างต้น แต่อย่างไรก็ตาม JAS ยังมีประเด็นข่าวการซื้อหุ้นคืน ที่ใกล้เคียงราคา 5 บาท ทำให้ราคาหุ้นมี down side จำกัด แต่ภาพรวมระยะยาวไม่ว่าจะจ่ายค่าประมูลหรือไม่ JAS ยังไม่น่าสนใจ จึงยังแนะนำ “ขาย” เช่นเดิม
ASPS ยังคงชอบ ADVANC (FV@B187) (ระยะสั้นยังได้ sentiment เชิงบวก หลังศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ยังสามารถใช้คลื่น 900 MHz บริการลูกค้า ต่อไปอีก 30 วัน ถึงเที่ยงคืนวันที่ 14 เม.ย. นี้ ทำให้มีเวลาย้ายลูกค้าจำนวน 4.0 แสนราย รวมทั้งช่วยลดภาระค่าเชื่อมต่อสัญญาณกับ DTAC ได้ราว 1 เดือน) และ น่าจะเป็นหุ้น ICT บริษัทเดียวที่ราคาปัจจุบันยังมี upside เหลือราว 9% ขณะที่ยังสามารถคาดหวัง Dividend Yield กว่า 7% จึงเหมาะลงทุนระยะยาว รวมทั้ง INTUCH (FV@B75) (ถือ ADVANC 40.45%) สามารถคาดหวัง Dividend Yield ได้เกิน 7% ต่อปี อีกทั้งมูลค่าพื้นฐานยังมี Upside สูงถึง 18%
ครม. กระตุ้นเศรษฐกิจ...ขึ้นเงินเดือนข้างราชการ หนุนสงกรานต์เดย์
ท่ามกลางสภาพคล่องโลกที่เพิ่มขึ้น จากการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายทั่วโลก ทางรัฐบาลไทยยังคงเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง ซึ่งการประชุม ครม. ในวันพรุ่งนี้ 22 มี.ค. กระทรวงการคลังเตรียมเสนอโครงการบ้านประชารัฐ ซึ่งโครงการมุ่งเน้นช่วยเหลือ ผู้มีรายได้น้อย ที่ต้องการมีบ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าปกติ (กู้ 7 แสนบาท 3 ปีแรก ผ่อนเดือนละ 3 พันบาท) ทั้งในรูปแบบการเช่าซื้อระยะยาว โดยใช้พื้นที่ราชพัสดุ 6 ทำเล และขายขาด โดยเปิดให้เอกชนนำโครงการที่มีอยู่แล้วเข้าร่วมโครงการ อาทิ คอนโดราคาไม่เกิน 7 แสนบาท และ บ้านแถวไม่เกิน 9 แสนบาท พร้อมเปิดลงทะเบียนผู้ประกอบการที่สนใจนำโครงการเข้าร่วมโครงการ ซึ่งอาจจะสร้าง sentiment เชิงบวกต่อ Developers ไม่มาก เพราะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่าย ทั้งการปรับลดราคาขาย (อย่างน้อย 2%),ค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนอง ซึ่งจะกดดัน Net Margin ราว 5% อีกทั้งทำเลที่ตั้งพื้นที่ราชพัสดุส่วนใหญ่คาดจะอยู่ในต่างจังหวัด จึงไม่จูงใจ Developer ซึ่งในครั้งนี้นับว่าแตกต่างจากโครงการบ้านเอื้ออาทรในอดีต ที่ Developer จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี (ภาษีนิติบุคคล) โดยสรุปคาดจะมีเพียงบางรายคือ PS และ LPN ที่อาจได้ประโยชน์ปริมาณขาย (ช่วยเร่งระบายสต็อกบ้านและคอนโดที่มีอยู่) เนื่องจากจับตลาดระดับผู้มีรายได้น้อยด้วย
นอกจากนี้ ครม เตรียมเสนอมาตรการกระตุ้นการบริโภค (C) ผ่านกลุ่มข้าราชการระดับล่างและกลางที่ไม่มีเงินประจำตำแหน่ง ซึ่งมีจำนวน 1 ล้านคน ผ่านการแจกเงินเพื่อใช้จ่ายในช่วงสงกรานต์ วงเงินรวม 1.5 หมื่นล้านบาท พร้อมเร่งรัดเงินอัดฉีดเงินกลุ่มผู้มีรายได้น้อยผ่านกองทุนหมู่บ้าน (หมู่บ้านละ 5 แสนบาท) เฟส 2 วงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาทโดยจะมีการเบิกจ่ายจนถึงสิ้นปี และในวันที่23 มี.ค. ติดตามการประชุมกนง. คาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ย 1.5% ต่อไป และ 25 มี.ค. รายงานยอดการค้าระหว่างประเทศ ส่งออก (X) & นำเข้า(M) เดือน ก.พ. คาดยังคงติดลบ 9% และ ติดลบ 10% ตามลำดับ
สภาพคล่องโลกยังหนุน fund flow ต่อเนื่อง
สภาพคล่องโลกที่เพิ่มขึ้น ยังคงหนุนให้ Fund Flow ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชียอย่างต่อเนื่อง โดยวันศุกร์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 1.1 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 17 โดยมีมูลค่ารวมสูงถึง 8.4 พันล้านเหรียญ) และเป็นการซื้อสุทธิทั้ง 5 ประเทศ นำโดยไต้หวันซื้อสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 568 ล้านเหรียญ และเป็นซื้อสุทธิสูงสุดในรอบ 6 เดือน (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 16) รองลงมาคือ เกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิราว 314 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 7) ตามมาด้วยอินโดนีเซียซื้อสุทธิราว 57 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) ฟิลิปปินส์ที่ซื้อสุทธิราว 24 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 7) และไทยสลับมาซื้อสุทธิสูงถึง 105 ล้านเหรียญ (3.6 พันล้านบาท หลังขายสุทธิต่อเนื่อง 3 วัน) ตรงข้ามสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิราว 371 ล้านบาท
ส่วนทางด้านตราสารหนี้นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิราว 2.2 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิราว 2.2 หมื่นล้านบาท ด้วยแรงซื้อหุ้นและตราสารหนี้จากต่างชาติ ส่งผลให้บาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น โดยล่าสุดอยู่ที่ 34.89 บาท/ดอลล่าร์
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
SET ยังติด 1,400 จุด แนะสะสมหุ้นกำไรเด่น 1Q59 BDMS, LPH, ERW, CENTEL, LIT
เชื่อว่า SET ยังคงแกว่งตัวในทิศทางบวก ตราบที่การใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายยังมีอยู่ทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐหลังส่งสัญญานเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยได้กดดันให้ dollar index ยังคงอ่อนค่า โดยล่าสุดยังคงทรงตัวที่ระดับ 95 จุด สวนทางกับค่าเงินยูโรที่ทรงตัวถึงแข็งค่าเล็กน้อย แม้ยุโรปยังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเช่นกัน แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นผลจากที่ค่าเงินยูโร underperform เมื่อเทียบกับดอลลาร์ มานาน
ด้านราคาทองคำ คาดว่ายังมีโอกาสฟื้นตัวต่อ แต่ระยะสั้นน่าจะมีทิศทางแกว่งตัว หลังจากปรับตัวขึ้นราว 20% จากจุดต่ำสุดเมื่อกลางเดือน ธ.ค. 2558 โดยคาดว่าระยะกลางน่าจะปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1,300 เหรียญฯ ต่อ ออนซ์
ขณะที่ SET คาดว่ายังคงติดแนวต้านระยะสั้นที่ 1400 จุด ซึ่งมี Expected P/E 15.7 เท่า และระยะสั้นยังไม่มีประเด็นบวกใหม่ ๆ สัปดาห์นี้คงเป็นเรื่องของการประชุม ครม. ซึ่งจะมีการอนุมัติโครงการกระตุ้นการการลงทุน ซึ่งคาดว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ และ ตามด้วยการประชุม กนง. ซึ่งน่าจะยังคงดอกเบี้ยต่ำตามเดิม
ทำให้ยังเน้นกลยุทธ์การลงทุน ให้สะสมหุ้นพื้นฐานเด่น ที่มีเงินปันผลสูง แต่ยังไม่ขึ้นเครื่องหมาย XD (ดังแสดงในตารางด้านท้าย) มี upside สูง เช่น INTUCH, AIT, SC, AP, QH และตามมาด้วย หุ้นที่มีผลประกอบการฟื้นตัวในปี 2559 และ งวด 1Q59 มีการเติบโตโดดเด่น ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว เริ่มตั้งแต่หุ้น Global นอกจากหุ้นน้ำมันแล้ว (PTT) ยังมีหุ้นปิโตรเคมี ซึ่งมี Spread ที่ดีขึ้น โดยเน้นปิโตรเคมีในสายโอเลฟินส์ (PTTGC, IRPC, SCC) (ชอบมากกว่าหุ้นโรงกลั่น ที่ค่าการกลั่นเริ่มชะลอตัว จากราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัว คือ BCP และ TOP) ตามมาด้วยกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม ให้น้ำหนักไปที่ ERW, CENTEL กลุ่ม ร.พ. LPH คาดว่ากำไรน่าเติบโตได้สูงกว่า 100% จากฐานกำไรที่ต่ำในงวด 1Q58 เนื่องจากได้มีการเปิดศูนย์จักษุวิทยาอย่างเต็มรูปแบบ (ทยอยเปิด 4Q58 ซึ่งพบว่ากำไรสุทธิในงวดนี้เติบโตถึง 35%yoy) และ BDMS น่าจะโดดเด่นสุดเนื่องจากมีโรงพยาบาลกระจายตัวมากสุด ในงวด 1Q59 คาดว่าจะทำกำไรสูงได้สูงสุดของปีนี้
และ กลุ่มเช่าซื้อ-ลีสซิ่ง ซึ่งได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผู้มีรายได้น้อย และ อานิสงส์ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง หนุนผลประกอบการงวด 1Q59 ดีขึ้นเทียบช่วง 4Q58 นำโดย LIT, MTLS, SAWAD, S11, SINGER และ THANI
ส่วนกลุ่มถัดไปที่จะกล่าวถึงในวันนี้คือ กลุ่มประกัน คาดว่ามีแนวโน้มชะลอตัวจากงวด 4Q58 เพราะ แม้ธุรกิจที่มิใช่ประกันชีวิตยังไปได้ดี แต่กลับถูกหักล้างด้วยธุรกิจประกันชีวิต ซึ่งได้รับผลกระทบจากผลตอบแทนจากพันธบัตรที่ลดลงตามภาวะดอกเบี้ยตลาด
กลุ่มประกัน เฉพาะธุรกิจประกันภัยยังประคองตัวได้คือ BKI, THRE
ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 1Q59 มีแนวโน้มหดตัวลงจากงวด 4Q58 หลังพ้นช่วงฤดูกาลมาหมาดๆ อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังฟื้นตัวล่าช้า โดยมีปัจจัยกดดันจากผลการดำเนินงานของกลุ่ม life โดยเฉพาะ BLA ที่คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานอาจพลิกกลับเป็นขาดทุนสุทธิระดับสูง เนื่องจากสถานการณ์ bond yield curve ณ ปัจจุบันที่ยังเห็นการลดลงตลอดช่วงอายุ เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2558 มีผลทำให้หนี้สินเพิ่ม (กรมธรรม์เพิ่มขึ้น) มีผลต่อการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น (ยังไม่ได้รวมปัจจัยบวก การเปลี่ยนนโยบายบัญชี การบันทึกมูลค่ายุติธรรม เงินลงทุนระยะยาวประเภท จากเดิมต้องบันทึกราคาทุน เนื่องจากจะต้องถือไว้จนครบกำหนด (Held to maturity) เป็นราคาตลาด ซึ่งจะทำให้มีกำไรส่วนต่างเกิดขึ้น จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงดังกล่าวได้ )
สำหรับแรงขับเคลื่อนการเติบโตของเบี้ยประกันชีวิตรับรวมในปี 2559 ส่วนใหญ่ยังคงมาจากการเติบโตเบี้ยประกันชีวิตรับปีแรกต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ซึ่งยังเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ออมทรัพย์ระยะสั้น เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด ขณะที่เบี้ยรับปีต่อยังเห็นการเติบโตที่ดีต่อเนื่องเช่นกัน
ขณะที่กลุ่ม non-life คาดว่าจะเห็นผลการดำเนินงานงวด 1Q59 ที่กระเตื้องขึ้นงวด 4Q58 เพราะโดยปกติงวด 4Q มักจะเห็นค่าเคลมสินไหมเพิ่มขึ้นทุกปี (กลุ่มเบี้ยประกันอัคคีภัยและเบ็ดเตล็ด :IAR) แต่จะลดลงในช่วงต้นปี
สำหรับ กลุ่มเบี้ยประกันที่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตหลักๆ ในกลุ่ม non-life ยังเป็นเบี้ยประเภท Personal line (ประกันสุขภาพและประกันเบ็ดเตล็ดที่ไม่ใช่ IAR) เช่นเดียวกับในงวด 4Q58 ขณะที่เบี้ยประกันภัยประเภท Commercial line (ประกันภัยทรัพย์สิน) ยังเป็นไปในทิศทางที่ทรงตัวตามสภาพเศรษฐกิจ และการลงทุนในประเทศที่ชะลอตัว อีกทั้งการแข่งขันที่รุนแรงมากในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะคู่แข่งจากบริษัทต่างชาติ ที่มีสภาพคล่องสูงมาก จึงกดดันเบี้ยประกันภัยรับในกลุ่มนี้ให้หดตัวลงมากจนใกล้เคียงหรือต่ำกว่าระดับในช่วงก่อนน้ำท่วมใหญ่ในปลายปี 2554
THRE, BKI คาดผลการดำเนินงานงวด 1Q59 ทรงตัวจาก งวด 4Q58
THRE: ภาพรวมกำไรสุทธิงวด 1Q59 คาดว่ายังทรงตัวสูงได้ใกล้เคียงงวด 4Q58 เนื่องจากการลดลงของค่าใช้จ่ายดำเนินงานในช่วงฤดูกาล โดยการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับสุทธิทั้ง life และ non-life ยังเห็นความต่อเนื่องได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และยังได้แรงหนุน combined ratio ในกลุ่ม non-conventional ที่เริ่มทรงตัว จากที่เพิ่มขึ้นมากในช่วงปี 2558
BKI: แนวโน้มผลการดำเนินงานงวด 1Q59 คาดว่ายังทรงตัวจากงวดก่อนหน้า ซึ่งเป็นปกติของทุกปี แม้จะพ้นช่วงฤดูกาลของการเติบโตของเบี้ยรับรวมในช่วงไตรมาสสุดท้ายที่เป็นช่วงของการต่ออายุกรมธรรม์สำหรับปีถัดไป แต่คาด loss ratio ยังทรงตัวด้วยเช่นกัน เนื่องจากงวด 4Q58 ได้ลดลงอยู่ในระดับที่ต่ำแล้ว จึงไม่คาดหมายการลดลงของ loss ratio อีกเช่นที่เกิดขึ้นในทุก 1Q ของทุกปี
BLA และ THREL คาด ผลการดำเนินงานช่วง 1Q59 อ่อนตัวจาก 4Q58
BLA: สืบเนื่องจากจาก bond yield curve ระยะ 10 ปีที่ยังเป็นขาลงต่อเนื่องตลอดช่วงอายุ โดยล่าสุด ณ วันที่ 29 ก.พ.59 ปรับตัวลดลงเหลือ 2.13% หรือ 38bp จากสิ้นปี 2558 ซึ่งจากการประเมินโดยคร่าวของ BLA ทุกๆ 10bp ที่อัตราดอกเบี้ยลดลง จะส่งผลกระทบต่อสำรองเบี้ยที่เพิ่มขึ้นราว 1 พันล้านบาท ทำให้แนวโน้มผลการดำเนินงานงวด 1Q59 มีความเป็นไปได้สูงที่จะขาดทุนต่อเนื่อง
THREL: ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 1Q59 คาด จะอ่อนตัวลงจากงวด 4Q58 โดยคาดการณ์เบี้ยประกันภัยรับต่อรวม อ่อนตัวลงหลังพ้นช่วงฤดูกาล อีกทั้งคาด combined ratio น่าจะเพิ่มขึ้นไปที่ระดับปกติคือราว 80-85% จากที่ลดลงไปต่ำกว่าปกติในงวด 4Q58 ที่เพียง 75.9%
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์