- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 18 March 2016 16:49
- Hits: 1037
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ทิศทางตลาด
มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นตามตลาดต่างประเทศ? คาดมีโอกาสปรับขึ้น แม้ผลการประชุมเฟดจะออกมาคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด แต่คาดตลาดตอบรับเชิงบวกมากขึ้น หลังเฟดลดคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาที่เหลือของปี ลงจากเดิม 4 ครั้ง เป็น 2 ครั้งๆ ละ 0.25% ประกอบกับการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 34.79 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง และคาดภายใต้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อเนื่องของธนาคารกลางหลายๆ ประเทศ รวมถึงการใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ คาดยังส่งผลดีต่อ Fund Flow ที่คาดไหลเข้าสู่ภูมิภาค และรวมถึงไทย
นอกจากนี้คาดมีแรงเก็งกำไรกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันล่าสุดที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 37 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะ PTT และ PTTEP
นอกจากนี้ยังแนะจับตา
(1) กลุ่มการบิน ที่คาดราคามีโอกาสฟื้นตัว หลังสายการบินของไทยผ่านการประเมินของสำนักงานบริหารความปลอดภัยด้านการบินของสหภาพยุโรป (EASA) และสามารถบินได้ตามปกติ และช่วง High Season ของการท่องเที่ยว คาดส่งผลดีต่อ BA, AAV
(2) กลุ่มพลังงาน PTT และ PTTEP จะได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้น ตามการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
(3) หุ้นกลุ่มโรงกลั่น เช่น IRPC, TOP และ SPRC จะได้รับผลบวกจากค่าการกลั่นที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในช่วง 1Q/59 และคาดจะไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันจำนวนมากอีก
(4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากโครงการก่อสร้างของภาครัฐ เช่น SCC, SCCC และ TPIPL เป็นต้น โดยเฉพาะใน 2H/59 ที่คาดความต้องการดีกว่า 1H/59
(5) หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม (MINT, CENTEL) และ AOT จากแนวโน้มการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น และเข้าสู่ช่วง High season ใน 4Q/58 – 1Q/59
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+/-) ตลาดหุ้นต่างประเทศ DJIA +155.73, NASDAQ +11.01, S&P +13.37, FTSE +25.63, CAC -20.11 และ DAX -91.21
โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของหุ้นในกลุ่มพลังงาน ตามราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ตลาดยังคงตอบรับในเชิงบวกต่อผลการประชุมเฟด ที่เป็นไปตามคาด โดยเฟดยังคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ในช่วง 0.25-0.50% และคาดว่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเพียง 2 ครั้ง ภายในสิ้นปี 2016 โดยปรับลดลงจาก 4 ครั้งที่เคยคาดไว้เมื่อ ธ..ค. 2015 ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลง และยูโรแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มส่งออกในตลาดหุ้นยุโรปลดลง
ในขณะที่สหรัฐฯเปิดเผย 1) ข้อมูลจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเพิ่ทขึ้นน้อยกว่าคาด 2) ดัชนีการผลิตในเขตมิด-แอตแอนติก เพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือน มี.ค. 3) ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือน ก.พ.
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน เม.ย. +US$1.74 อยู่ที่ US$ 40.20ต่อบาร์เรล โดยได้รับปัจจัยบวกจากการที่ประเทศในกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่จะทำข้อตกลงตรึงปริมาณการผลิตในเดือน เม.ย. โดยเป็นการประชุมที่ประเทศการ์ตาในวันที่ 17 เม.ย. ประกอบกับปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเบนซินที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน เม.ย. +US$35.2 อยู่ที่ US$ 1,229.8ต่อออนซ์ โดยราคาทองคำปิดพุ่งขึ้นตามการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
20.24 1.8 3.37
ที่มา: www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย(ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 47,662.61
สถาบัน 926.67
บัญชีหลักทรัพย์ 84.13
ต่างประเทศ -1,085.04
ในประเทศ 74.24
(6) กลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL, HMPRO และ ROBINS ที่คาดได้รับประโยชน์หลังรัฐบาลอัดฉีดกำลังซื้อรากหญ้าอย่างต่อเนื่อง จากโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเกษตรกร 3 โครงการวงเงิน 93,000 ล้านบาท
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี -0.04 อยู่ที่ 1.90% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -0.55 อยู่ที่ 14.44
หุ้นแนะนำ : TOP
นักวิเคราะห์ : ศักดิ์นรินทร์ ศศานนท์ โทร.02-684-8789