- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 17 March 2016 18:01
- Hits: 2234
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'เลือกซื้อเก็งกำไร/ถือค่าบวก'
Stock Picks-
Mar 2016 : Fundamental : BA, EPG, ERW, GL, PTT
Fundamental Pick -Today: AOT (ดู Theme ลงทุนด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, SNC, TCAP, TMT, BTSGIF, DIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : M 38%, SAMART 29%, TTA 24%, GLOBAL 19%, CBG 17%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบ แต่ยังไม่ทิ้งรีบาวด์ก่อนลงต่ำ
Support Resistance Stop Loss
SET ซื้อค่าบวก 1390,1400-1410 ค่าลบ
SET50 ซื้อค่าบวก 890-900, 910 ค่าลบ
Technical Picks - Today TISCO, CPN, HANA, CKP, CHG, TWPC, LPH, GLOBAL
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : PTTEP (จาก HOLD เป็น Fully Valued)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยผันผวน โดยปรับขึ้นในช่วงแรกแล้วก็ถูกขายทำกำไรลงมา ปิดตลาด SET Index ลดลง 5.13 จุด ปิดที่ 1377.80 จุด การลดลงนำโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ แต่ส่วนหนึ่งได้รับการชดเชยจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานและสื่อสาร ทำให้ช่วงลบของตลาดลดลงจากในระหว่างวัน ที่ลบไปกว่า 12 จุด นักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างชาติขายสุทธิ ส่วนพอร์ตบล.และรายย่อยซื้อสุทธิ
ผลประชุมเฟดออกมาตามคาดการณ์ของตลาด โดยยังคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 0.25-0.50% และปรับลดโอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้เป็น 2 ครั้ง จากเดิม 4 ครั้ง รวมถึงปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ของปีนี้เป็น 2.1-2.3% (เดิม 2.3-2.5%) เนื่องจากปัจจัยภายนอกสหรัฐมีความเสี่ยงและไม่แน่นอน และตลาดเงินยังผันผวน อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวภาคแรงงานยังไปได้ดี คาดว่าอัตราการว่างงานจะลดลงต่อเนื่องในช่วง 2 ปีข้างหน้า ซึ่งตลาดหุ้นตอบรับผลประชุมเฟดในทางบวก แต่ก็แฝงไว้ด้วยความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่วนราคาน้ำมันดิบก็ยังแกว่งโดยกลับมาปรับขึ้นเมื่อคืนนี้ เพราะสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มน้อยกว่าคาดและ 15 ชาติผู้ผลิตน้ำมันอาจมีประชุมกันได้ในกลางเดือนเม.ย.59 ทำให้มีแรงซื้อกลับในหุ้นกลุ่มพลังงานและเป็นปัจจัยหนุนตลาดในช่วงสั้น ส่วนในประเทศ กลุ่มที่ยังไปได้ดีคือท่องเที่ยว ขณะที่การลงทุนยังค่อนข้างล่าช้า สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น AOT
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมพลิกเป็นลบ แต่มีสิทธิรีบาวด์ก่อนลงต่ำต่อได้ ให้แนวต้านระยะสั้นไว้ที่ 1390-1400, 1410-1420 จุด ค่าลบดูไม่ดีเพราะอาจมีระยะทางการลงได้อีก ส่วน SET50 มีแนวต้าน 890-900, 910-920 จุด ค่าลบดูไม่ดีเช่นกัน การลงทุนใหม่จึงเน้นซื้อตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้นและดัชนี
สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดี และมีโอกาสทำ New High หุ้นเข้ามาใหม่เป็น HANA, VGI, BEAUTY, CHG ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List และหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้น คือ DIF, IRPC, CPN, INET, ERW, BCH, NPP, ROBINS, COM7
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นและปรับลดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะยาว โดยอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นคงไว้ที่ 0.25-0.50% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และคณะกรรมการเฟดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% เพียง 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% จำนวน 4 ครั้ง โดยการลดคาดการณ์จำนวนครั้งของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว บ่งชี้ว่าเฟดระมัดระวังเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจมากขึ้น หลังภาคต่างประเทศยังอ่อนแอและตลาดการเงินมีความผันผวน
นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่เฟดได้ปรับลดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสำหรับปี 2559 ลง 0.50% สู่ระดับ 0.88% ส่วนในปี 2560 ได้ปรับลดลง 0.50% สู่ระดับ 1.88% ขณะที่ปี 2560 ปรับลดลง 0.38% สู่ระดับ 3.00% ส่วนอัตราดอกเบี้ยในระยะยาวมีการปรับลดลง 0.25% สู่ระดับ 3.25%
สหรัฐ : เฟดปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ, อัตราเงินเฟ้อ และอัตราว่างงาน โดยปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปี 59 สู่ระดับ 2.1-2.3% จากเดิมที่ 2.3-2.5% และปรับลดคาดการณ์สำหรับปี 60 สู่ระดับ 2.0-2.3% ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็น 1.2% ในปี 59 จากเดิมที่ 1.6% และเชื่อมั่นว่าอัตราเงินเฟ้อจะถึงเป้าหมายที่ 2% ในปี 60 นอกจากนั้นได้ปรับลดคาดการณ์อัตราว่างงานในปี 59 เป็น 4.7% และปี 60-61 เป็น 4.6% และ 4.5% ตามลำดับ (ปัจจุบันอยู่ที่ 4.9%) เฟดระบุว่าการใช้จ่ายในภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นในอัตราปานกลาง ขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยปรับตัวดีขึ้น
+ สหรัฐ : เงินเฟ้อพื้นฐานเดือนก.พ.เพิ่มมากกว่าคาด ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ร่วงลง 0.2%MoM ในเดือนก.พ.เนื่องจากการร่วงลงของราคาน้ำมัน แต่เพิ่มขึ้น 1%YoY ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.3%MoM และพุ่งขึ้น 2.3%YoY ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.55 และเพิ่มมากกว่าคาด
+ สหรัฐ : ตัวเลขภาคก่อสร้างและอุตสาหกรรมเดือนก.พ.ออกมาดี ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านเพิ่มขึ้น 5.2% ในเดือนก.พ.59 สู่ระดับ 1.18 ล้านยูนิต สูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.58 และดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ 26% สำหรับการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.พ.ออกมา +0.2% ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจะ +0.1%
+ น้ำมันดิบ : สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มน้อยกว่าคาด...กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันคาดจะประชุมตรึงปริมาณผลิต 17 เม.ย.นี้ที่กาตาร์ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐ +1.3 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ +3.4 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 0.747 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่คาดว่าจะลดลง 2.3 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล สอดคล้องกับที่คาดการณ์
รมว.พลังงานของกาตาร์ กล่าวว่ากลุ่มโอเปกและผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มจะจัดการประชุมที่กาตาร์ในวันที่ 17 เม.ย.59 เพื่อหารือถึงการจำกัดการผลิตน้ำมัน โดยหวังว่าจะช่วยให้ราคาฟื้นตัวขึ้น ทั้งนี้ในปัจจุบันกาตาร์เป็นประธานโอเปกและจะเป็นประธานในการประชุมที่กรุงโดฮา เมืองหลวงของกาตาร์ คาดว่าจะมีผู้ผลิตน้ำมันเข้าร่วมประชุมราว 15 ชาติคิดเป็นปริมาณการผลิต 73% ของทั้งโลก
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปิดเพิ่มขึ้น โดยดัชนี DJIA ปิด +74.23 จุด ตอบรับเฟดที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ยและปรับลดคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยปี 59 ลงเหลือ 2 ครั้ง รวมถึงการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบก็หนุนหุ้นกลุ่มพลังงานด้วย
+ ราคาน้ำมันดิบ : พุ่งขึ้น 4-5% โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT ส่งมอบเม.ย.59 ปิด +2.12 และ +1.59 ดอลลาร์ ปิดที่ 38.46 และ 40.33 ดอลลาร์/บาร์เรล จากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และยังมีความหวังว่ากลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ประชุมหารือเพื่อหาแนวทางไม่ให้ราคาน้ำมันตกต่ำเกินไปในกลางเดือนเม.ย.นี้
ราคาทองคำ : ลดลงเพียงเล็กน้อย & การซื้อขายซบเซา สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดลดลง 1.2 ดอลลาร์ แตะระดับ 1,229.8 ดอลลาร์/ออนซ์ ทั้งนี้ตลาดซื้อขายสัญญาทองคำปิดก่อนที่เฟดจะเปิดเผยผลประชุม
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
+ กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม : ทางกระทรวงท่องเที่ยวฯตั้งเป้าหมายรายได้ท่องเที่ยวปี 59 ไว้ที่ 2.3 ล้านล้านบาท และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 32 ล้านคน สำหรับ 1Q59 คาดว่าจะมีรายได้ 6.62 แสนล้านบาท +14.4%YoY โดยเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 4.56 แสนล้านบาท +18.2%YoY และนักท่องเที่ยวไทย 2.06 แสนล้านบาท +6.9%YoY สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยว 1Q59 คาดว่าจะเท่ากับ 8.94 ล้านคน +14.3%YoY (จากจีน 2.51 ล้านคน +25.4%YoY, ยุโรป 2.09 ล้านคน +8.3%YoY และอาเซียน 1.89 ล้านคน +5.7%YoY)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เราคงมุมมองทางบวกกับภาคท่องเที่ยวของไทยในปี 59 และเชื่อว่าเป็นหนึ่งใน Key growth ของเศรษฐกิจไทย สำหรับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยว & โรงแรมที่เราทำการวิเคราะห์ ประกอบด้วย AOT, AAV, BA, THAI, ERW, CENTEL, MINT ซึ่งหุ้นที่เป็น Top picks ของเราในช่วงนี้เป็น AOT, BA และ ERW
# AOT (ราคาปิด 402 บาท) : คาดว่าปริมาณการขนส่งตลอดปี 59 จะยังคงแข็งแกร่ง เรามีสมมุติฐานว่าอัตราการเติบโตของผู้โดยสารและเครื่องบินเป็น 11.1% และ 10.9% ตามลำดับ รายได้ค่าสัมปทานสูงขึ้น (ช่วงต.ค.-ธ.ค.58 เพิ่มขึ้น 19%) จากพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่มากขึ้นจากการเปิดอาคาร 2 ของสนามบินดอนเมืองและสนามบินภูเก็ต สำหรับการลงทุนในสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 คาดว่าจะเริ่มได้กลางปี 59 แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 430 บาท)
# BA (ราคาปิด 25 บาท) : คาดปี 59 ทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยไตรมาสที่ดีที่สุดน่าจะเป็น 1Q59 ซึ่งเป็นช่วง High season ของธุรกิจ ซึ่งมาจาก Load factor ที่เพิ่มขึ้นเป็น 77% ต้นทุนน้ำมันที่ใช้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่ำลง คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปี 59 จะขยายตัวสูงกว่า 50% ปัจจัยหนุนหลัก คือ ต้นทุนน้ำมันที่ลดลง (ใน 1Q59 คาดว่าจะลดลงถึง 40%YoY) แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 27.60 บาท
# ERW (ราคาปิด 4.34 บาท) : เริ่มขยายโรงแรมไปในต่างประเทศ โดยในปี 59 จะมีโรงแรมในต่างประเทศแห่งแรกที่ฟิลิปปินส์ บริษัทมีเป้าหมายขยายโรงแรมเป็น 95 แห่ง และมีจำนวนห้องพัก 1 หมื่นห้องภายในปี 2563 (สิ้นปี 58 มีโรงแรมทั้งสิ้น 33 แห่ง มีจำนวนห้องพัก 5,676 ห้อง) การบริหารค่าใช้จ่ายดำเนินงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนการเติบโตของผลประกอบการ คาดการณ์กำไรสุทธิปี 59 เติบโตก้าวกระโดดถึง 50% แนะนำซื้อ ทาง DBSV ให้ราคาพื้นฐาน 5.30 บาท (DCF)
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค -
[email protected]