- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 17 March 2016 17:46
- Hits: 1678
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ทิศทางตลาด
ตามตลาดต่างประเทศ? คาดมีโอกาสปรับขึ้นแม้ผลการประชุมเฟดจะออกมาคงอัตราดอกเบี้ยตามคาดแต่คาดตลาดตอบรับเชิงบวกมากขึ้นหลังเฟดลดคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาที่เหลือของปีลงจากเดิม4 ครั้งเป็น2 ครั้งๆละ0.25% และคาดน่าจะช่วยชดเชยปัจจัยกดดันจากFund Flow หลังล่าสุดมีแรงขายสุทธิออกมาอีกกว่า2,300 ล้านบาทโดยคาดภายใต้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อเนื่องของธนาคารกลางหลายๆประเทศรวมถึงการใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบคาดยังส่งผลดีต่อFund Flow ที่คาดไหลเข้าสู่ภูมิภาคและรวมถึงไทย
นอกจากนี้คาดมีแรงเก็งกำไรกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันล่าสุดที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตามคาดยังมีความกังวลภาวะอุปทานส่วนเกินหลังอิหร่านจะเพิ่มกำลังการผลิตให้เท่ากับช่วงก่อนถูกคว่ำบาตรที่4.0 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ยังแนะจับตา(1) กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่คาดหลังจากนี้มีการเร่งรัดเปิดประมูลโครงการอื่นๆ ที่มีความพร้อมต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม เส้นทางศูนย์วัฒนธรรม –มีนบุรีวงเงิน110,116 ล้านบาทที่คาดสามารถเปิดประมูลได้ในช่วง1Q/59 และรถไฟทางคู่สายประจวบคีรีขันธ์- ชุมพรวงเงินประมาณ24,000 ล้านบาท คาดส่งผลดีต่อ CK และUNIQ
(2) กลุ่มการบินที่คาดราคามีโอกาสฟื้นตัว หลังสายการบินของไทยผ่านการประเมินของสำนักงานบริหารความปลอดภัยด้านการบินของสหภาพยุโรป (EASA) และสามารถบินได้ตามปกตินอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำและช่วงHigh Season ของการท่องเที่ยวคาดส่งผลดีต่อBA, AAV
(3) กลุ่มพลังงานระยะสั้น PTT และPTTEP จะได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นแต่ในระยะยาวราคาน้ำมันดิบยังคงถูกกดดันจากภาวะอุปทานส่วนเกิน
(4) หุ้นกลุ่มโรงกลั่นเช่นIRPC, TOP และSPRC จะได้รับผลบวกจากค่าการกลั่นที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในช่วง1Q/59 และคาดจะไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันจำนวนมากอีก
(5) กลุ่มวัสดุก่อสร้างที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากโครงการก่อสร้างของภาครัฐ เช่น SCC, SCCC และTPIPL เป็นต้น โดยเฉพาะใน 2H/59 ที่คาดความต้องการดีกว่า1H/59
(6) หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเช่น โรงแรม (MINT, CENTEL) และAOT จากแนวโน้มการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นและเข้าสู่ช่วงHigh season ใน4Q/58 – 1Q/59
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+) ตลาดหุ้นต่างประเทศDJIA +74.23, NASDAQ 35.30, S&P +11.29, FTSE +35.52, CAC -9.63 และDAX +49.56
ภายใต้การตอบรับในเชิงบวกต่อผลการประชุมเฟดที่เป็นไปตามคาดโดยคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ในช่วง0.25-0.50% ด้วยมติ9 –1 ขณะที่ปรับลดคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย0.25% เพียง2 ครั้งในปีนี้ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะปรับขึ้น4 ครั้ง จากการเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น หลังการขยายตัวที่อ่อนแอในต่างประเทศ และตลาดการเงินที่ผันผวน
นอกจากนี้เฟดปรับลดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสำหรับปี’59 - 60 ลง0.50% สู่ระดับ0.88% และ1.88% ตามลำดับ และลดลง 0.38% ในปี’61 อยู่ที่3.00% ส่วนอัตราดอกเบี้ยในระยะยาวมีการปรับลดลง.25% สู่ระดับ3.25% และยังได้รับปัจจัยบวกจากหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ตามราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นWTI พุ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามยังถูกกดดันบ้างจากดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) – ก.พ. ของสหรัฐฯลดลง0.2%MoM
ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการก่อนทราบผลประชุมของเฟด ราคาน้ำมันดิบ(NYMEX) ส่งมอบเดือน เม.ย. +US$2.12 อยู่ที่US$ 38.46ต่อบาร์เรลหลังEIA เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบล่าสุด เพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรลต่ำกว่าที่คาดว่าจะเพิ่ม3.4 ล้านบาร์เรลและตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯเช่น ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้าน - ก.พ. เพิ่มขึ้น5.2% อยู่ที่1.18 ล้านยูนิตซึ่งสูงสุดนับแต่ก.ย.’58 และการผลิตภาคอุตสาหกรรม–ก.พ. เพิ่มขึ้น0.2%
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
20.2 1.8 3.38
ที่มา: www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย(ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 55,782.94
สถาบัน -2,801.61
บัญชีหลักทรัพย์ 1,016.79
ต่างประเทศ -2,337.08
ในประเทศ 4,121.90
(7) กลุ่มค้าปลีกเช่นCPALL ที่คาดได้รับประโยชน์หลังรัฐบาลอัดฉีดกำลังซื้อรากหญ้าอย่างต่อเนื่องจากโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเกษตรกร3 โครงการวงเงิน93,000 ล้านบาท
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ10 ปี-0.02 อยู่ที่1.94% (ระดับสูงสุด3.77% เมื่อกพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง(VIX) -1.85 อยู่ที่14.99
หุ้นแนะนำ: ANAN
นักวิเคราะห์: จิตรลดาเลขาพันธ์ โทร.02-684-8788