- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 16 March 2016 18:32
- Hits: 1736
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก'
Stock Picks-Mar 2016 : Fundamental : BA, EPG, ERW, GL, PTT
Fundamental Pick -Today: TCAP(ดู Theme ลงทุนด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, SNC, TCAP, TMT, BTSGIF, DIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : GLOBAL 20%, PTTEP 20%, BJC 14%, SPALI 13%, ADVANC 11%, BBL 11%, AP 11%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบ แต่ยังไม่ทิ้งรีบาวด์ก่อนลงต่ำ
Support Resistance Stop Loss
SET ซื้อค่าบวก 1390,1400-1410 ค่าลบ
SET50 ซื้อค่าบวก 900, 910-920 ค่าลบ
Technical Picks - Today TCAP, PS, WHA, EASTW, BA, TWPC, TIPCO, COM7
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับฐานโดย SET Index ปิดลดลง 11.34 จุด การปรับลดลงนำโดยกลุ่มพลังงานที่กังวลกับความไม่แน่นอนของการตรึงปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ และกลุ่มสื่อสารที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือรายที่ 4 คือ JAS เข้ามาแข่งขันหรือไม่ ขณะเดียวกันยังมีปัญหามือถือ 2G ย่าน 900 MHz ซิมดับด้วย นักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างชาติขายสุทธิ ส่วนพอร์ตบล.และรายย่อยซื้อสุทธิ
ปัจจัยภายนอกยังมีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทยมากในช่วงนี้ โดยผลประชุม BOJ ออกมาตามคาด คือ คงอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินฝากไว้กับ BOJ ที่ -0.1% และคงการขยายฐานเงินต่อปีไว้ที่ 80 ล้านล้านเยน รวมทั้งยืนยันความพร้อมที่จะออกมาตรการเพิ่มเติมเมื่อจำเป็น ปัจจัยที่จับตาต่อคือผลประชุมเฟดในวันนี้ (16 มี.ค.) ซึ่งประเมินว่ายังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่มีโอกาสที่จะขยับขึ้นในระยะต่อไป (ผลสำรวจ CNBC คาดว่าอาจจะปรับขึ้นในการประชุมรอบมิ.ย.59) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐตอบรับกระแสคาดการณ์ในทางแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย และตลาดเอเชียขยับบวกแคบๆ หลังอ่อนลงเมื่อวานนี้ ส่วนปัจจัยในประเทศยังไม่มีประเด็นใหม่ที่มีนัยสำคัญ แต่มีการเลือกซื้อเก็งกำไรเป็นรายบริษัท และมีโอกาสที่ Fund Flow จะเข้ามาเก็งกำไรเป็นรอบๆ อันเป็นผลจากอัตราผลตอบแทนในตลาดเงินต่ำมากและมีสภาพคล่องเพิ่มจาก QE ยุโรป สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น TCAP
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมพลิกเป็นลบ แต่มีสิทธิรีบาวด์ก่อนลงต่ำต่อได้ ให้แนวต้านระยะสั้นไว้ที่ 1390-1400, 1410-1420 จุด ค่าลบดูไม่ดีเพราะอาจมีระยะทางการลงได้อีก ส่วน SET50 มีแนวต้าน 900-910, 920-930 จุด ค่าลบดูไม่ดีเช่นกัน การลงทุนใหม่จึงเน้นซื้อตามด้วยค่าบวกของ ราคาหุ้นและดัชนี
สำหรับ การ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดี และมีโอกาสทำ New High หุ้นเข้ามาใหม่เป็น BCH, ROBINS, TCAP, COM7, NPP ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List และหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้น คือ DIF, IRPC, CPN, INET, ERW, TKN, TU, BWG, BA, CBG
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
ญี่ปุ่น : คณะกรรมการ BOJ ยังคงใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินและพร้อมออกมาตรการเพิ่มเติมถ้าจำเป็น โดยเมื่อวานนี้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินฝากไว้กับ BOJ ที่ -0.1% และขยายฐานเงิน 80 ล้านล้านเยนต่อปีผ่านโครงการซื้อสินทรัพย์ (QE) และผู้วว่าการ BOJ กล่าวว่าพร้อมออกมาตรการเพิ่มเติมถ้ามีความเสี่ยงในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น โดยขณะนี้การจ้างงานและรายได้ประชาชนในญี่ปุ่นกระเตื้องขึ้น แต่การผลิตและการส่งออกยังชะลอตัว ทางด้านนักวิเคราะห์ประเมินว่าการแข็งค่าของเงินเยนจะกดดันภาคส่งออกของญี่ปุ่น และทำให้ BOJ จะต้องออกมาตรการผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเพิ่มเติมในระยะต่อไป
สหรัฐ : การใช้จ่ายผู้บริโภคชะลอลงในเดือนก.พ. & ยอดขายภาคธุรกิจโดยเฉพาะที่ส่งออกลดลงต่อเนื่อง แต่ภาคก่อสร้างยังอยู่ในเกณฑ์ดี ยอดค้าปลีกลดลง 0.1%MoM ในเดือนก.พ. บ่งชี้ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะยังคงซบเซาใน 1Q59 ส่วนสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.1%MoM ในเดือนม.ค. แต่ยอดขายภาคธุรกิจร่วงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 เนื่องจากการส่งออกที่ลดลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยถูกกดดันจากเศรษฐกิจในต่างประเทศอ่อนแอ และเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า
ด้านดัชนีความเชื่อมั่นผู้ก่อสร้างบ้านเดือนมี.ค.59 ทรงตัวที่ 58 แต่เพิ่มขึ้นจาก 52 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี
+ สหรัฐ : ดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวม (Empire State Index) กลับมาเป็นเลขบวกที่ 0.6 ได้ในเดือนมี.ค.59 ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือนนับตั้งแต่ก.ค.58 (สำหรับเดือนก.พ.59 ดัชนีอยู่ที่ -16.6) ปัจจัยหนุน คือ คำสั่งซื้อใหม่และการขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้น
สหรัฐ : กลุ่ม CEO บริษัทขนาดใหญ่คาดเศรษฐกิจสหรัฐปีนี้จะขยายตัว 2.2% ลดลงจากผลสำรวจครั้งก่อน ผลสำรวจ CEO ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ พบว่ามีมุมมองว่าการขยายตัวชะลอลงเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน โดย CEO กลุ่มนี้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐปี 59 จะขยายตัว 2.2% ซึ่งลดลงจาก 2.4% ที่สำรวจคาดการณ์ในช่วงปลายปี 58
สหรัฐ : จับตาผลประชุมเฟดที่จะออกมาในวันนี้ (16 มี.ค.59) ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 0.50% สำหรับผลการสำรวจของ CNBC พบว่าผู้ถูกสำรวจที่เป็นนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนขนาดใหญ่ 42 คนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท (95% ของทั้งหมด) คาดว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมในรอบ 15-16 มี.ค.59 แต่ 83% เชื่อว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิ.ย.59 อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจมักจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไปจนถึงใกล้วันประชุมรอบนั้นๆ
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนี DJIA ร่วงลงในวันแต่ปิดบวกได้เล็กน้อย ทั้งนี้การซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน เพราะนักลงทุนกังวลเรื่องราคาน้ำมันดิบที่ปรับลง และยอดค้าปลีกเดือนก.พ.ของสหรัฐต่ำลง รวมทั้งระมัดระวังก่อนผลการประชุม FOMC ออกมาในวันที่ 16 มี.ค.59
- ราคาน้ำมันดิบ : อ่อนตัวลง โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT ส่งมอบเม.ย.59 ปิดลดลง 0.84 และ 0.79 ดอลลาร์ มาที่ 36.34 และ 38.74 ดอลลาร์/บาร์เรล ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลจากการที่อิหร่านมุ่งมั่นผลิตน้ำมันดิบเพิ่มเป็น 4 ล้านบาร์เรล/วัน (จากที่ผลิตเฉลี่ย 1.75 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนก.พ.) และการประชุมหารือร่วมกันของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันในและนอกโอเปกมีแนวโน้มว่าจะเลื่อนไปเป็นกลางเดือนเม.ย.59 จากเดิมที่จะประชุม 20 มี.ค.นี้
- ราคาทองคำ : ดิ่งลงอีก 1.13% ทั้งนี้สัญญาทองคำตลาด COMEX ปิดลดลง 14.1 ดอลลาร์ มาปิดที่ 1,231 ดอลลาร์/ออนซ์ เพราะนักลงทุนเทขายลดความเสี่ยงออกมาก่อนผลประชุม FOMC ออกมา
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
ราคาน้ำมันกับดัชนีตลาดหุ้นไทยมีความสัมพันธ์กันมาก เนื่องจากกำไรสุทธิของหุ้นกลุ่มพลังงานมีสัดส่วนของกำไรราว 30% ของตลาดหุ้นไทย (คิดจากค่า Median ย้อนหลัง 15 ปี) และสำหรับปี 59 กำไรของหุ้นกลุ่มพลังงานมีผลต่อกำไรของตลาดหุ้นไทยอย่างมาก
โดยหากราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นดี ก็จะทำให้กำไรตลาดหุ้นไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากฐานที่ต่ำ ซึ่งในประมาณการล่าสุดของ DBSV เราคาดการณ์ว่ากำไรกลุ่มพลังงานปี 59 จะเพิ่มเป็นกว่า 8 หมื่นล้านบาทจากประมาณ 2 หมื่นล้านบาทในปี 58 เพราะมีมุมมองว่าราคาน้ำมันดิบในปีนี้จะกระเตื้องขึ้นจากปีก่อนและความเสี่ยงเรื่องการตั้งสำรองด้อยค่าในสินทรัพย์และเงินลงทุนจำกัดลงไปมาก ซึ่งทำให้กำไรสุทธิของตลาดรวมจะเพิ่มขึ้นมากถึง 30% แต่ถ้าไม่รวมกลุ่มพลังงานพบว่าคาดกาณณ์กำไรสุทธิปี 59 จะเติบโต 7% โดยส่วนนี้มองว่ามี Downside Risk ถ้าเม็ดเงินจากการลงทุนภาครัฐเข้ามาล่าช้าและภาวะภัยแล้งส่วนผลกระทบมากเกินคาด ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้น้อยกว่า 3.4%
โดยภาพรวมเราประเมินว่าตลาดหุ้นได้รับอานิสงค์ทางบวกจาก Fund Flow ที่เข้ามาเพราะอัตราดอกเบี้ยของหลายประเทศอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์หรือติดลบ และสภาพคล่องทางการเงินในระบบที่จะสูงขึ้น แต่เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจยังซบเซา ดังนั้นการเข้ามาของเม็ดเงินลงทุนส่วนใหญ่จะค่อนไปทางเก็งกำไรเป็นรอบๆ ตลาดจึงยังไม่ทิ้งความผันผวน สำหรับหุ้นแนะนำจะเน้นไปยังหุ้นคุณภาพ คือ ธุรกิจมั่นคง เติบโตได้ดีในระยะยาว ฐานะการเงินแข็งแรง จ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ และมี Valuation ที่ไม่แพงมาก หุ้นเด่นสำหรับ 2Q59 เป็น BBL, KBANK, TCAP, PTT, PTTGC, BJCHI, AP, BA, DIF, ERW, TU เป็นต้น
+ ADVANC (ราคาปิด 167.50 บาท) : ศาลมีคำสั่งให้ขยายระยะเวลาคุ้มครองผู้ใช้บริการ 2G บนย่าน 900 MHz ออกไปถึง 14 เม.ย.59 (ขยายระยะเวลาออกไปอีก 30 วัน) ทั้งนี้ AIS มีลูกค้าที่ใช้บริการ 2G บนคลื่น 900 MHz อยู่ 4 แสนเลขหมาย, ลูกค้าของ Advance Wireless Network ที่ถือ 2G อีก 7.6 ล้านเลขหมาย และลูกค้า TOT อีก 2 แสนเลขหมาย ที่ไม่สามารถใช้งานบนโครงข่าย 900 MHz ตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 15 มี.ค.59 แต่ขณะก็ได้รับการขยายเวลาการใช้งานออกไปอีก 30 วันตามคำสั่งศาลปกครองกลางแล้ว
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค -
[email protected]
.