WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

AIRA copyบล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

 

ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ทิศทางตลาด
  ผันผวน? ภายใต้ปัจจัยกดดันจาก(1) Fund Flow หลังล่าสุดมีแรงขายสุทธิออกมากว่า2,600 ล้านบาทอย่างไรก็ตามภายใต้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อเนื่องของธนาคารกลางหลายๆประเทศรวมถึงการใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบละคาดการณ์ว่าผลประชุมเฟดในครั้งนี้ยังคงอัตราดอกเบี้ย(ผลประชุมเช้าพฤ.ตามเวลาไทย) คาดยังส่งผลดีต่อFund Flow ที่คาดไหลเข้าสู่ภูมิภาคและรวมถึงไทย
  (2) ราคาน้ำมันที่ลดลงจากความกังวลภาวะอุปทานส่วนเกินหลังอิหร่านจะเพิ่มกำลังการผลิตให้เท่ากับช่วงก่อนถูกคว่ำบาตรที่4.0 ล้านบาร์เรลซึ่งคาดส่งผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน
  นอกจากนี้ยังแนะจับตา(1) กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่คาดหลังจากนี้มีการเร่งรัดเปิดประมูลโครงการอื่นๆ ที่มีความพร้อมต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม เส้นทางศูนย์วัฒนธรรม –มีนบุรีวงเงิน110,116 ล้านบาทที่คาดสามารถเปิดประมูลได้ในช่วง1Q/59 และรถไฟทางคู่สายประจวบคีรีขันธ์- ชุมพรวงเงินประมาณ24,000 ล้านบาท คาดส่งผลดีต่อ CK และUNIQ
  (2) กลุ่มการบินที่คาดราคามีโอกาสฟื้นตัว หลังสายการบินของไทยผ่านการประเมินของสำนักงานบริหารความปลอดภัยด้านการบินของสหภาพยุโรป (EASA) และสามารถบินได้ตามปกตินอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำและช่วงHigh Season ของการท่องเที่ยวคาดส่งผลดีต่อBA, AAV
  (3) กลุ่มพลังงานระยะสั้น PTT และPTTEP จะได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นแต่ในระยะยาวราคาน้ำมันดิบยังคงถูกกดดันจากภาวะอุปทานส่วนเกิน
  (4) หุ้นกลุ่มโรงกลั่นเช่นIRPC, TOP และSPRC จะได้รับผลบวกจากค่าการกลั่นที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในช่วง1Q/59 และคาดจะไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันจำนวนมากอีก
  (5) กลุ่มวัสดุก่อสร้างที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากโครงการก่อสร้างของภาครัฐ เช่น SCC, SCCC และTPIPL เป็นต้น โดยเฉพาะใน 2H/59 ที่คาดความต้องการดีกว่า1H/59
  (6) หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเช่น โรงแรม (MINT, CENTEL) และAOT จากแนวโน้มการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นและเข้าสู่ช่วงHigh season ใน4Q/58 – 1Q/59

ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
  (+/-) ตลาดหุ้นต่างประเทศDJIA +22.40, NASDAQ -21.61, S&P -3.71, FTSE -34.60, CAC -33.96 และDAX -56.41ภายใต้ปัจจัยลบจาก(1) ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง และ (2) ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ซบเซา โดยยอดค้าปลีก –ก.พ. ลดลง0.1% ทำให้คาดการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะยังคงซบเซาใน1Q/59 ขณะที่สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจ–ม.ค. เพิ่มขึ้น0.1% แต่ยอดขายภาคธุรกิจร่วงลงติดต่อกันเป็นเดือนที่4 หลังผู้ผลิตของสหรัฐฯ เผชิญกับยอดขายจากการส่งออกที่ลดลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยได้รับผลกระทบจากภาวะอ่อนแอทางเศรษฐกิจในต่างประเทศ และเงินสหรัฐฯ ที่แข็งค่า รวมถึงดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) – ก.พ.ลดลง0.2%MoM ชะลอตัวจากที่เพิ่มขึ้น0.1% เมื่อม.ค.

  ....อย่างไรก็ตามการซื้อขายเป็นไปอย่างระมัดระวังก่อนที่จะทราบผลการประชุมเฟด(เช้าพฤ. ตามเวลาไทย)
  ราคาน้ำมันดิบ(NYMEX) ส่งมอบเดือน เม.ย. -US$0.84 อยู่ที่US$ 36.34ต่อบาร์เรลภายใต้ปัจจัยกดดัน(1) สถาบันปิโตรเลียมสหรัฐ(API) รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯล่าสุดเพิ่มขึ้น1.5 ล้านบาร์เรลทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานล้นตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นและ(2) กลุ่มโอเปกปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในตลาดลง100,000 บาร์เรล/วันสู่ระดับ
31.5 ล้านบาร์เรล/วันจากที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนที่ผ่านมา แต่ยังเพิ่มขึ้น 1.8 ล้านบาร์เรล/วันเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
  ขณะที่อยู่ระหว่างติดตามการประชุมของกลุ่มโอเปกและประเทศนอกกลุ่ม ซึ่งมีแนวโน้มจะมีขึ้นกลางเดือนเม.ย. ที่กรุงโดฮาเพื่อหาข้อตกลงในการตรึงกำลังการผลิตน้ำมันเพื่อทำให้ราคาฟื้นตัวขึ้น
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
20.28 1.8 3.36

ที่มา: www.set.or.th

มูลค่าการซื้อขาย หน่วย(ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 44,431.34
สถาบัน -1,293.35
บัญชีหลักทรัพย์ 654.63
ต่างประเทศ -2,617.02
ในประเทศ 3,255.74
(7) กลุ่มค้าปลีกเช่นCPALL ที่คาดได้รับประโยชน์หลังรัฐบาลอัดฉีดกำลังซื้อรากหญ้าอย่างต่อเนื่องจากโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเกษตรกร3 โครงการวงเงิน93,000 ล้านบาท
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ10 ปี ทรงตัว อยู่ที่ 1.96% (ระดับสูงสุด3.77% เมื่อกพ.’54)

  ดัชนีความเสี่ยง(VIX) -0.08 อยู่ที่16.84
  หุ้นแนะนำ: TWPC

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!