- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 15 March 2016 18:06
- Hits: 2465
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'แกว่งไม่หลุด 1380 ยังเลือกซื้อ/ถือต่อได้'
Stock Picks-Mar 2016 : Fundamental : BA, EPG, ERW, GL, PTT
Fundamental Pick -Today: BA(ดู Theme ลงทุนด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, SNC, TCAP, TMT, BTSGIF, DIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : BJC 69%, PTT 15%, PTTEP 14%, ADVANC 10%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ แต่ยังไม่ทิ้งรีบาวด์ก่อนลงต่ำ
Support Resistance Stop Loss
SET ซื้อค่าบวก 1400,1410-1420 หลุด 1380
SET50 ซื้อค่าบวก 910, 920-930 หลุด 890
Technical Picks - Today KTC, BJCHI, INET, SIRI, BA, VIBHA, TVO, THRE
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นเป็น 2.05 พันล้านบาท ส่วนอีก 3 กลุ่มขายสุทธิ นำโดยนักลงทุนรายย่อย ตามมาด้วยสถาบันในประเทศ และพอร์ตบล. (แต่พอร์ตบล.ขายสุทธิเพียง 101 ล้านบาทเท่านั้น) ส่วนดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1392-1407 จุด และปิดตลาดในระดับทรงตัวที่ 1394.27 จุด โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์และปิโตรเคมี Outperform ตลาด ขณะที่กลุ่มสื่อสารและพลังงาน Underperform
ปัจจัยจับตา คือ ผลการประชุม BOJ วันที่ 14 มี.ค., การประชุม FOMC 15-16 มี.ค.59 ซึ่งคาดว่าในรอบนี้จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่โอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยช่วง 2H59 มีมากขึ้นหลังอัตราเงินเฟ้อมีโอกาสเร่งตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น ส่วนการประชุมกนง.ของไทยจะเป็น 23 มี.ค.59 เราประเมินว่าคณะกรรมการฯจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% เช่นกัน
โดยภาพรวมของตลาดหุ้น ระยะสั้นยังอยู่ในบรรยากาศบวกที่หนุนโดย Fund Flow ที่เข้ามา ซึ่งเป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศติดลบหรือต่ำมากเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นจากมาตรการเพิ่มเติมของ ECB อย่างไรก็ตาม การลงทุนต้องระมัดระวังเพราะภาพรวมเศรษฐกิจยังซบเซาและ Core Profit ของบจ.ไทยยังไม่ได้ดีขึ้นมากนัก (แต่กำไรสุทธิรวมเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดเพราะฐานกำไรที่ต่ำมากของกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และขนส่งในปีก่อน) กลยุทธ์การลงทุน : เลือกซื้อ/ถือหุ้นคุณภาพดี สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น BA
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมพลิกเป็นลบเล็กๆ แต่มีสิทธิรีบาวด์ก่อนลงต่ำต่อได้ ให้แนวต้านระยะสั้นไว้ที่ 1400, 1410-1420 จุด แนวฟิวเตอร์ที่ไม่ควรหลุดคือ 1380 จุด ส่วน SET50 มีแนวต้าน 910, 920-930 จุด และแนวฟิวเตอร์ที่ไม่ควรหลุดเป็น 890 จุด
สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดี และมีโอกาสทำ New High หุ้นเข้ามาใหม่เป็น BA, INET, CBG, ERW ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List และหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้น คือ DIF, IRPC, TKN, TU, CPN, BWG, LHBANK, GLOW, TIPCO
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
สหรัฐ : ประชุมเฟด 15-16 มี.ค.นี้ คาดเฟดคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% แต่รอดูสัญญาณทิศทางอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไป
ญี่ปุ่น : ติดตามรายงานผลประชุมนโยบายการเงิน BOJ วันนี้ ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมหรือไม่ ทั้งนี้ในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ -0.1% และมีปริมาณการซื้อสินทรัพย์ตามโครงการ QE เท่ากับ 80 ล้านล้านเยน
ตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนีดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 15.82 จุด หนุนโดยหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภค แต่มีแรงกดดันจากการร่วงลงของราคาน้ำมันและชะลอการซื้อขายก่อนการประชุมเฟด
อิหร่านยืนยันไม่หารือกับกลุ่มโอเปกเรื่องจำกัดการผลิตน้ำมัน หากยังผลิตน้ำมันไม่ถึง 4 ล้านบาร์เรล/วัน โดยคาดว่าการผลิตจะแตะ 2 ล้านบาร์เรล/วันในวันที่ 19 มี.ค.นี้ (เพิ่มจาก 1.75 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนก.พ.59) อย่างไรก็ตาม ทางรัสเซียยังมีความพยายามในเรื่องนี้ โดยระบุว่า กลุ่มประเทศผู้ผลิตในโอเปกและนอกโอเปกสามารถประชุมและตกลงกันจำกัดปริมาณการผลิตน้ำมันในกลางเดือนเม.ย.ที่กรุงโดฮาได้ โดยมีข้อยกเว้นสำหรับอิหร่านที่ผลิตเพิ่มได้เพราะถูกคว่ำบาตรมาเป็นเวลานานหลายปี
- สัญญาน้ำมันดิบ : ปิดลดลง โดยสัญญา WTI ปิด -1.32 ดอลลาร์ที่ 37.18 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญา BRENT ปิด -0.86 ดอลลาร์ที่ 39.53 ดอลลาร์/บาร์เรล
กลุ่มโอเปกออกรายงานเมื่อ 14 มี.ค.59 ว่าได้ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันของโอเปกในปี 59 ลงสู่ 31.5 ล้านบาร์เรล/วัน (ลดลง 100,000 บาร์เรล/วันจากที่คาดการณ์ไว้เมื่อก.พ.59 และเท่ากับการเพิ่มขึ้น 1.8 ล้านบาร์เรล/วันในปี 58)
- ราคาทองคำ : ร่วงลง...นักลงทุนระวังการซื้อขายก่อนประชุมเฟด สัญญาทองคำตลาด COMEX ปิด -14.30 ดอลลาร์ที่ 1,245.10 ดอลลาร์/ออนซ์
ค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้นก่อนการประชุมเฟด : ดัชนี Dollar Cash Index ขยับขึ้นเป็น 96.625 ในเช้าวันนี้ จาก 2 วันก่อนที่ลงไปที่ 95.938 โดยตลาดประเมินว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ แต่กระแสคาดการณ์โอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยช่วง 2H59 มีมากขึ้นเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน
คาดธปท.จะดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งเกินไป ทั้งนี้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐอ่อนลงและมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม คาดว่าทางการไทยจะดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งเกินไป ทั้งนี้กนง.จะประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินวันที่ 23 มี.ค.นี้ ซึ่งเราประเมินว่าน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% ก่อน แล้วค่อยไปพิจารณาว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ในระยะต่อไป
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
+ BA (ราคาปิด 24.50 บาท, ราคาพื้นฐาน 27.60 บาท) : คาดปี 59 ทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยไตรมาสที่ดีที่สุดน่าจะเป็น 1Q59 ซึ่งเป็นช่วง High season ของธุรกิจ ซึ่งมาจาก Load factor ที่เพิ่มขึ้นเป็น 77% ต้นทุนน้ำมันที่ใช้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่ำลงหลังปรับปรุงประสิทธิภาพ
แนวโน้มสดใส โดย Forward booking เดือนมี.ค.-เม.ย.เพิ่ม 30-40% เป็น 1.1 ล้านที่นั่ง นับว่าแข็งแกร่งมาก บริษัทประเมินว่า ASK ปี 59 จะเพิ่มขึ้น 10-11% ส่วน Load Factor เพิ่มขึ้นได้ 1-2 ppts จากปี 58 ที่ 66.8% บริษัทได้เพิ่มจำนวนเที่ยวบินสูงสุดไปเกาะสมุยเป็น 50 เที่ยวจากเดิม 36 เที่ยว กำลังขอเพิ่มเป็น 70 เที่ยว แต่คาดว่าอาจใช้เวลาประมาณ 3 ปี จำนวนเครื่องบินจะเพิ่มจากปัจจุบัน 33 ลำเป็น 36 ลำในสิ้นปี 59 รองรับการเปิดเส้นทางการบินใหม่ทั้งในและต่างประเทศ
บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาทำ Codeshare กับสายการบินชั้นนำทั่วโลกอีก 7-8 สายการบิน คาดได้ข้อสรุปในปีนี้ (ปัจจุบันมี Codeshare อยู่แล้วกับ 20 สายการบิน) แนะนำซื้อ ฝ่ายวิจัยฯ DBSV ให้ราคาพื้นฐานไว้เท่ากับ 27.60 บาท โดยคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปี 59 จะขยายตัวสูงกว่า 50% ปัจจัยหนุนหลัก คือ ต้นทุนน้ำมันที่ลดลง (ใน 1Q59 คาดว่าจะลดลงถึง 40%YoY)
+ BEM (ราคาปิด 5.25 บาท, ราคาพื้นฐาน 5.90 บาท) : บริษัทมีพื้นฐานธุรกิจที่ดี โดยเป็นผู้นำตลาดขนส่งทั้งเรื่องเป็นผู้บริหารทางด่วน บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน และการบริหารเดินรถที่จะทยอยเข้ามาคือ ปีนี้เป็นสายสีม่วง และคาดว่าปี 61 จะเริ่มให้บริการสายสีน้ำเงินได้ ซึ่งคาดว่าจะได้รับงานภายในปีนี้ และเป็นแรงกระตุ้นราคาหุ้นได้ อีกทั้งมีโอกาสได้งานส่วนอื่นๆของ MRT อีกในอนาคต ด้านคาดการณ์อัตราการเติบโตของ Core Profit อยู่ในเกณฑ์ดีมาก โดยในปี 59 และปี 60 ขยายตัวแข็งแกร่ง 70% และ 32% ตามลำดับ ให้ราคาพื้นฐานประเมินด้วยวิธี SOTP ไว้ที่ 5.90 บาท สำหรับกรณีการทางพิเศษฯปฎิเสธการจ่ายค่าชดเชยความเสียหายเกี่ยวกับความแตกต่างในเรื่องส่วนแบ่งรายได้ในอดีตให้กับบริษัทมูลค่า 4.4 พันล้านบาท (รวมดอกเบี้ย) คาดว่าจะอยู่ในความคาดการณ์ของตลาดอยู่แล้ว และเราไม่ได้ใส่เรื่องในไว้ในประมาณการเนื่องจากเห็นว่าน่าจะต้องใช้เวลาอีกนานในกระบวนการทางกฎหมายถึงจะได้ข้อสรุป
+ TU (ราคาปิด 20.80 บาท, ราคาพื้นฐาน 22.30 บาท) : จะขยายตลาดเอเชียและตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายในยุโรปและสหรัฐคิดเป็น 70% ของทั้งหมด ทั้งนี้ในปี 59 ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15-20% จาก 3,700 ล้านดอลลาร์ในปี 58 ซึ่งมาจากการเติบโตภายในและการเข้าซื้อกิจการ สำหรับเป้าหมายยอดขายในอีก 5 ปีข้างหน้ายังคงไว้ที่ 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บริษัทคาดว่าจะทำงบการเงินรวมกับ Rugen Fisch ตั้งแต่ 1Q59 เป็นต้นไป ซึ่งบริษัทนี้มีผลิตภัณฑ์หลัก คือ ปลาเฮอริ่ง ปลาแมคคอเรล และปลาแซลมอน ทั้งสดและแช่เย็น ตลาดหลักคือ ผู้ค้าปลีกทั่วประเทศเยอรมนี ราว 50% เป็นสินค้าแบรนด์และส่วนที่เหลือเป็น OEM มีส่วนแบ่งการตลาด 37% และมี EBITDA Margin อยู่ในช่วง 9-12% DBSV คาดว่าการทำงบการเงินรวมกับ Rugen Fisch จะช่วยให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2016 เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอีก 3% เป็นเติบโต 17% แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 22.30 บาท (อิง P/E ปีนี้ที่ 17 เท่า)
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค -
[email protected]