- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 02 March 2016 19:01
- Hits: 3096
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'เลือกซื้อ/ถือต่อ'
Stock Picks-Mar 2016 : Fundamental : BA, EPG, ERW, GL, PTT Dark Horse เป็น DTAC
Fundamental Pick -Today: BA(ดู Theme ลงทุนด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, QTC, SNC, TCAP, TMT, BTSGIF, DIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : ADVANC 14%, SIRI 10%
Technical View ภาพตลาดเป็นบวก ที่ควรระวังแกว่ง
Support Resistance Stop Loss
SET ซื้อค่าบวก 1350-1360 หลุด 1320
SET50 ซื้อค่าบวก 870-880 หลุด 840
Technical Picks - Today KBANK, TCMC, BJCHI, TOP, CBG, TKN, PTTGC, BR
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับขึ้นดีกว่าคาด โดยปิด +14.58 จุดที่ 1346.95 โดยแรงซื้อเข้ามามากในช่วงบ่าย นำโดยกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี วัสดุก่อสร้าง และธนาคารพาณิชย์ กลุ่มที่นำซื้อสุทธิ คือ พอร์ตบล. (ซื้อสุทธิ 1.5 พันล้านบาท) ส่วนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 340 ล้านบาท ด้านต่างชาติขายสุทธิเล็กน้อย 190 กว่าล้านบาท รายย่อยเป็นกลุ่มที่ขายสุทธิหลัก ปัจจัยหนุน คือ การปรับขึ้นของตลาดหุ้นยุโรป ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ส และราคาน้ำมันดิบ
สำหรับวันนี้ตลาดหุ้นไทยอยู่ใน Sentiment ที่เป็นบวกเหมือนกันตลาดภูมิภาค โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขภาคก่อสร้างและภาคการผลิตที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ ค่าเงินเยนมีเสถียรภาพมากขึ้น และราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นต่อเพราะมีข่าวว่ารัสเซียใกล้บรรลุข้อตกลงกับกลุ่มโอเปกในการตรึงปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ โดยจะประชุมทางการอีกรอบภายในเดือนมี.ค.นี้ นอกจากนั้นยังมีความหวังว่าในการประชุมนโยบายการเงินของประเทศต่างๆ จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ส่วนในประเทศมีประเด็นบวกจากการปรับโครงสร้างเพื่อลดภาระภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเพื่อให้ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจ นับเป็นบวกกับกลุ่มพาณิชย์, สื่อและบันเทิง, ท่องเที่ยว, สื่อสาร ฯลฯ เนื่องจากผู้บริโภคมีกำลังซื้อสุทธิเพิ่มขึ้นอันเนื่องจากการจ่ายภาษีน้อยลง ซึ่งหุ้นเด่นในกลุ่มดังกล่าวได้แก่ HMPRO, WORK, ERW, MINT, CENTEL, AOT, BA, ADVANC, INTUCH, DTAC เป็นต้น กลยุทธ์การลงทุน : เล่นรอบไม่ควรหวัง Gap กำไรมากเพราะตลาดยังผันผวน ส่วนการลงทุนระยะยาวแนะนำให้ทยอยซื้อเป็น Step สำหรับหุ้นพื้นฐานที่เลือกวันนี้เป็น BA
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมเป็นบวก แนวต้านระยะสั้น 1350-1360, 1370 จุด การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ค่าลบดูไม่ดี ต่ำกว่า 1320 จุดควรลดพอร์ตตาม สำหรับ SET50 มีแนวต้านระยะสั้น 870-880, 900 จุด Stop loss ถ้าหลุด 840 จุด การ SCAN หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสทำ New high พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น TOP, BJCHI, SPRC, BH ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ TKN, GFPT, CENTEL, AP, GUNKUL, TPCH, TU
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ เศรษฐกิจสหรัฐ : ภาคก่อสร้างและภาคผลิตแข็งแกร่งกว่าคาด โดยการใช้จ่ายด้านการก่อสร้าง +1.5% ในเดือนม.ค.สู่ระดับ 1.14 ล้านล้านดอลลาร์ สูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2007 (คาดการณ์ไว้ที่ +0.4%) และดัชนีภาคการผลิตของ ISM เดือนก.พ.ขยับขึ้นเป็น 49.5 จาก 48.2 ในเดือนม.ค.ปีนี้ ซึ่งดีกว่าที่เราและตลาดคาดการณ์ไว้ ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.พ.ที่จะเปิดเผยวันศุกร์นี้
+ น้ำมัน : รัสเซียใกล้บรรลุข้อตกลงกับกลุ่มโอเปกในการจำกัดการผลิตน้ำมัน โดยการตัดสินใจขั้นสุดท้ายจะมีขึ้นในการประชุมเดือนมี.ค.2016 นี้ ทั้งนี้รมว.พลังงานรัสเซียกล่าวว่าทางรัสเซียได้รับเสียงสนับสนุนจาก 15 ประเทศในการตรึงปริมาณการผลิตน้ำมันในปี 2016 แต่ไม่ได้เปิดเผยรายชื่อกลุ่มประเทศดังกล่าว สัญญาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT เมื่อวานนี้ขยับขึ้นต่อ โดย +0.65 และ 0.24 ดอลลาร์ ปิดที่ 34.40 และ 36.81 ดอลลาร์/บาร์เรล ตามลำดับ
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : พุ่งขึ้นแรง โดยดัชนี DJIA ปิด +348.58 จุด (+2.11%) ที่ 16,865.08 จุด หนุนโดยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ทั้งภาคผลิตและค่าใช้จ่ายด้านก่อสร้าง รวมถึงราคาน้ำมันฟื้นตัว
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเม.ย.ปิด -3.6 ดอลลาร์ ที่ 1,230.80 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากแรงขายทำกำไร รวมทั้งการแข็งค่าของเงินดอลลาร์และการปรับขึ้นของตลาดหุ้นก็เป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำในช่วงนี้ด้วย
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
อัตราเงินเฟ้อเดือนก.พ.16 ยังคงติดลบ โดยดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนก.พ.2016 ติดลบ 0.5%YoY แต่เพิ่ม 0.15%MoM สำหรับ 2M16 หดตัว 0.52%YoY ด้าน Core CPI เดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 0.68%YoY ทั้งนี้ดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น 1.26%YoY แต่ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มติดลบ 1.45%YoY และบวกบางๆ 0.02%MoM กระทรวงพาณิชย์ปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2016 เป็น 0-1% (จากเดิม 1-2%) ซึ่งบ่งชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศปีนี้จะทรงตัวต่ำอย่างต่อเนื่อง
+ กระทรวงการคลังจะเสนอครม.ปรับโครงสร้างภาษีรายได้บุคคลธรรมดากลางมี.ค.2016 ในเบื้องต้นคาดว่าอัตราภาษียังเท่าเดิมที่ 0%-35% และขยับขึ้นขั้นละ 5%แต่จะขยายรายได้ในแต่ละช่วงให้กว้างขึ้น เช่น เดิมรายได้สุทธิ 1.5 แสนบาทแรกไม่เสียภาษี ก็ขยายเป็น 3.0 แสนบาท แล้วไล่เป็นลำดับขึ้นไป ซึ่งเดิมรายได้สุทธิ 4 ล้านบาทขึ้นไปเสียภาษีอัตราสูงสุด 35% ก็เป็น 4-5 ล้านบาทเสีย 25%, 5-6 ล้านบาทเสีย 30% และ 6 ล้านบาทขึ้นไปเสีย 35% รวมทั้งจะขยายวงเงินค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลจาก 6 หมื่นบาทเป็น 1.0-1.2 แสนบาท โดยกรมสรรพากรจะสรุปเรื่องนี้อีกครั้งก่อนเสนอให้ครม.อนุมัติ ซึ่งโครงสร้างใหม่นี้ทำให้รัฐสูญเสียรายได้แต่ก็เป็นผลดีกับบุคคลธรรมดาทุกกลุ่มรายได้ที่จะเสียภาษีน้อยลง และมีเงินไปจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยคาดว่าจะให้ผลบังคับใช้ในปีภาษี 2016 นี้ โครงสร้างภาษีรายได้บุคคลธรรมดาของไทย
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : นับเป็นข่าวบวกกับกับผู้บริโภค ซึ่งในไทยมีจำนวนประชากรที่จ่ายภาษีรายได้บุคคลธรรมดาราว 3.3 ล้านคน (หรือคิดเป็น 33% จากจำนวนประชากรที่ต้องจ่ายภาษีราว 10 ล้านคน โดยอีก 67% เป็นผู้มีรายได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษี) โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่อิงกับการจับจ่ายใช้สอยในประเทศจะได้รับประโยชน์จากการได้รับการลดภาษีรายได้ฯ เช่น กลุ่มพาณิชย์, สื่อและบันเทิง, ท่องเที่ยว, สื่อสาร ฯลฯ เนื่องจากผู้บริโภคมีกำลังซื้อสุทธิเพิ่มขึ้นอันเนื่องจากการจ่ายภาษีน้อยลง ซึ่งหุ้นเด่นในกลุ่มดังกล่าวได้แก่ HMPRO, WORK, ERW, MINT, CENTEL, AOT, BA, ADVANC, INTUCH, DTAC เป็นต้น
+ BA (ราคาปิด 23.50 บาท) : คาดการณ์ว่าปี 2016 จะทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยไตรมาสที่ดีที่สุดน่าจะเป็น 1Q16 ซึ่งเป็นช่วง High season ของธุรกิจ ซึ่งมาจาก Load factor ที่เพิ่มขึ้นเป็น 77% ต้นทุนน้ำมันที่ใช้ลดลง และค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่ำลงหลังปรับปรุงประสิทธิภาพ
แนวโน้มยังสดใส โดย Forward booking เดือนมี.ค.-เม.ย.เพิ่ม 30-40% เป็น 1.1 ล้านที่นั่ง นับว่าแข็งแกร่งมาก บริษัทประเมินรายได้ทั้งปีขยายตัว 10-15% จากผู้โดยสาร 5.7-5.8 ล้านคน (จาก 5.1 ล้านคนในปี 2015) Load factor เพิ่มเป็น 68-70% (จาก 67% ในปี 2015) จำนวนเครื่องบินเพิ่มจากปัจจุบัน 33 ลำเป็น 36 ลำรองรับการเปิดเส้นทางการบินใหม่ทั้งในและต่างประเทศ
บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาทำ Codeshare กับสายการบินชั้นนำทั่วโลกอีก 7-8 สายการบิน คาดได้ข้อสรุปในปีนี้ (ปัจจุบันมี Codeshare อยู่แล้วกับ 20 สายการบิน)
แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 27.60 บาท โดยคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปี 2016 จะขยายตัวสูงกว่า 50% ปัจจัยหนุนหลัก คือ ต้นทุนน้ำมันที่ลดลง (ใน 1Q16 คาดว่าจะลดลงถึง 40%YoY) ด้านฐานะการเงินก็แข็งแกร่ง บริษัทประกาศจ่ายปันผลสำหรับ 2H16 เท่ากับ 0.45 บาท/หุ้น กำหนด XD 8 มี.ค.และชำระเงิน 27 เม.ย.2016
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]