WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

AIRA copyบล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

 

ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ทิศทางตลาด
  ปรับตัวขึ้น? เราประเมินว่าดัชนี จะเป็นทิศทางปรับตัวขึ้นได้ ปลังจากดัชนีชี้นำต่างๆ สะท้อนว่า ความต้องการในสินทรัพย์เสี่ยง
กลับมาอยู่ที่ระดับปกติ โดยได้รับแรงหนุนจากราคำน้ำมันที่ +6% ที่จะเป็นเป็นแรงผลักดันหุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่ม Commodity อื่นๆ อย่างวัสดุและกลุ่มเกษตร และเราคาดหวังว่าจะได้เป็นแรง Cover Short กลับมาในกลุ่มหลักๆ และพยุงดัชนีให้ขยับขึ้นได้ในวันนี้
  ด้านปัจจัยในประเทศที่จะกระทบกับ Sector หลัก จับตาการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน วันพรุ่งนี้ 24 ก.พ. หลัง ม.ค.ที่ผ่านมา ได้อนุมัติลอยตัวราคาแบบมีเงื่อนไข โดยราคายังคงที่ระดับ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม(กก.) ขณะที่ราคาต้นทุนอยู่ที่ 13.65 บาทต่อ กก. (PTT อาจรับภาระน้อยลง) ซึ่งอาจส่งดีต่อกลุ่มหลักอย่างพลังงาน และดัชนีโดยรวม
  ส่วนทางด้านปัจจัยในประเทศ คาดปัจจัยที่คอยพยุงตลาดในระยะสั้นนี้ อย่างการประกาศผลประกอบการจะค่อยๆ จะมีน้ำหนักลดลง หาก Outlook ของเศรษฐกิจ ยังอยู่ในทิศทางไม่สดใสนัก และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่เปราะบางอยู่แล้ว แต่อาจถูกกระทบเพิ่มเติม จากปัจจัยต่างประเทศ และภัยแล้ง
  นอกเหนือจากการเร่งรัดเปิดประมูลโครงการภาครัฐ ที่คาดยังเป็นปัจจัยหนุนภาพรวมกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งปลายก.พ. – ต้นมี.ค. กระทรวงคมนาคม เตรียมเสนอ ครม. พิจารณาอนุมัติการก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่อีก 4 เส้นทาง ประกอบด้วย (1) รถไฟทางคู่ช่วงลพบุรี - ปากน้ำโพ 148 กิโลเมตร (2) ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ 131 กิโลเมตร (3) ช่วงนครปฐม - หัวหิน 170 กิโลเมตร และ (4) ช่วงประจวบคีรีขันธ์ - ชุมพร 167 กิโลเมตร

ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
  (0) ตลาดหุ้นต่างประเทศ DJIA -40.40, NASDAQ -46.53, S&P -8.99, FTSE -58.37 CAC +6.29 และ DAX +86.43
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป ส่วนใหญ่ปิดตัวในแดนลบ โดยได้รับแรงกดดัน จากการขายทำกำไร หลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกรีบาวน์ได้ตลอด 3-4 วันที่ผ่านมา ประกอบกับ ราคาน้ำมันที่เริ่มลดช่วงบวกลงหลังจากรับข่าวการคงกำลังการผลิตของผู้ผลิตรายใหญ่ไปแล้ว อีกทั้งตลาดยังได้รับความผิดหวังจากกรณี วอล-มาร์ต ที่นักลงทุนกังวลต่อแนวโน้มยอดขายของบริษัท
  ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน มี.ค. +11 เซนต์ ปิดที่ 30.77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ BRENTส่งมอบเดือนเมษายน ลดลง -22 เซนต์ ปิดที่ 34.28 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันได้รับแรงกดดัน หลังสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA)ประกาศตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 12 ก.พ. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.1 ล้านบาร์เรล ไปแตะที่ระดับ 504.1ล้านบาร์เรล
  ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน เม.ย. +14.90 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,226.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากการการที่สินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ และราคาน้ำมันเริ่มกลับมาอยู่ในแดนลบอีกครั้ง
  (+) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ +1,245 ล้านบาท สะสม YTD
-9,848 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,584 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ)

P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
19.41 1.76 3.38
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 49,838.20
สถาบัน -792.27
บัญชีหลักทรัพย์ +930.72


ต่างประเทศ +949.73
ในประเทศ -1,088.18

  ยังแนะจับตา (1) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่คาดหลังจากนี้มีการเร่งรัดเปิดประมูลโครงการอื่นๆ ที่มีความพร้อมต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม เส้นทางศูนย์วัฒนธรรม – มีนบุรี วงเงิน 110,116 ล้านบาท ที่คาดสามารถเปิดประมูลได้ในช่วง 1Q/59 และรถไฟทางคู่สายประจวบคีรีขันธ์ - ชุมพร วงเงิน ประมาณ 24,000 ล้านบาท คาดส่งผลดีต่อ CK และ UNIQ
  (2) กลุ่มการบิน ที่คาดราคามีโอกาสฟื้นตัว หลังสายการบินของไทยผ่านการประเมินของสำนักงานบริหารความปลอดภัยด้านการบินของสหภาพยุโรป (EASA) และสามารถบินได้ตามปกติ นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ และช่วง High Season ของการท่องเที่ยว คาดส่งผลดีต่อ BA, AAV
  (3) หุ้นกลุ่มโรงกลั่น เช่น IRPC, TOP และ SPRC จะได้รับผลบวกจากค่าการกลั่นที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจาก 4Q/58-1Q/59 โดยคาดผลกระทบจากการขาดทุนจากสต็อกน้ำมันในช่วง 4Q/58 เป็นเพียงผลกระทบระยะสั้น
  (4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากโครงการก่อสร้างของภาครัฐ เช่น SCC, SCCC และ TPIPL เป็นต้น โดยเฉพาะใน 2H/59 ที่คาดความต้องการดีกว่า 1H/59
  (5) หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม (MINT, CENTEL) และ AOT จากแนวโน้มการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น และเข้าสู่ช่วง High season ใน 4Q/58 – 1Q/59
  (6) เริ่มเข้าสู่ช่วงประกาศผลการดำเนินงาน คาดอาจมีแรงเก็งกำไร จนถึงปลายเดือน ก.พ.’59
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.007 อยู่ที่ 1.7455% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -1.15 อยู่ที่ 19.38
หุ้นแนะนำ : STEC

นักวิเคราะห์ : พลเทพ วงษ์นาค โทร.02-684-8796 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!