- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 23 February 2016 16:48
- Hits: 2031
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ระวังแกว่ง…ไม่หลุด 1300 ยังถือได้'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยวันศุกร์พุ่งขึ้นแรง โดยปิด +25.60 จุดที่ 1320.19 นำโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์, พลังงาน,ปิโตรเคมี (SCC, IVL), สื่อสาร, รับเหมาก่อสร้าง และโรงพยาบาล ซึ่งเป็นการปรับขึ้น Outperform ภูมิภาค ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการกลับมาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ และการปรับพอร์ตระหว่างตราสารหนี้กับหุ้น (ขายทำกำไรในตราสารหนี้แล้วเพิ่มน้ำหนักในหุ้น) ซึ่งเราได้นำเสนอประเด็นนี้มาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ก่อน นักลงทุนสถาบันในประเทศ ต่างชาติ และพอร์ตบล.ซื้อสุทธิ ส่วนรายย่อยขายสุทธิ 6.4 พันล้านบาทระยะสั้นตลาดหุ้นอยู่ใน Sentiment ค่อนไปทางบวก โดยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐหลายตัวออกมาบ่งชี้ว่าการเติบโตยังคงเดินหน้าได้ดี รวมทั้งราคาน้ำมันดิบที่ดีดขึ้นก็ช่วยหนุนด้วย นอกจากนั้นค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในช่วงสัปดาห์ก่อนก็ทำให้หุ้นส่งออกได้อานิสงค์ทางบวก อย่างไรก็ตาม เรายังต้องระวังความผันผวนจากปัจจัยที่ค่อนข้าง Mixed (ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีบ้างไม่ดีบ้าง การตกลงเรื่องตรึงราคาน้ำมันของประเทศผู้ผลิตที่ยังไม่แน่นอน100%) การเล่นรอบจึงไม่ควรหวัง Gap กำไรมากเกินไป ส่วนการลงทุนระยะยาวยังเป็นการทยอยซื้อเป็น Step หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เลือกเป็นKCE
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมเป็นบวก ให้แนวต้านระยะสั้น 1330-1340 จุด เน้นซื้อตามค่าบวก ค่าลบดูไม่ดี ต่ำกว่า 1300 จุด ควรลดพอร์ตตาม สำหรับ SET50 มีแนวต้านระยะสั้น 850-860, 870 จุด และมีระดับ Stop loss ที่ 820 จุดการ SCAN หุ้นที่เทคนิคดี ราคามีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น KBANK, SCB, GLOW, BCH ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ THANI,BWG, BIG, CHG หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ MINT, SCC
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : เฟดสาขาชิคาโกระบุว่าดัชนีกิจกรรมการผลิตทั่วประเทศดีดตัวขึ้นสู่ +0.28 ในเดือนม.ค. (ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ +0.20)จาก -0.34 ในเดือนธ.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวขึ้น
+ สหรัฐ : อัตราเงินเฟ้อเดือนม.ค.เพิ่มขึ้นเกินคาด ดัชนี CPI พื้นฐานเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 0.3%MoM ซึ่งเป็นการปรับขึ้นมากที่สุดในรอบ 4 ปีครึ่งและ +2.2%YoY สำหรับดัชนี CPI ทั่วไปทรงตัว MoM และ +1.4%YoY
- สหรัฐ : มาร์กิตรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนก.พ.อยู่ที่ 51.0ลดลงจาก 52.4 ในเดือนม.ค. ซึ่งดัชนีดังกล่าวบ่งชี้ว่าภาคการผลิตสหรัฐขยายตัวได้แต่ในอัตราที่น้อยลง
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : พุ่งขึ้นในวันจันทร์ โดยดัชนี DJIA ปรับขึ้น 228.67จุดปิดที่ 16,620.66 จุด ตอบรับรายงานดัชนีการผลิตทั่วประเทศที่ดีขึ้นในเดือนม.ค.ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวลงนอกจากนั้นราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นก็ช่วยหนุนด้วย
- น้ำมัน : สต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ก่อนพุ่งขึ้น 2.1 ล้านบาร์เรล เป็น504.1 ล้านบาร์เรล ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 5 แต่น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 3.1 ล้านบาร์เรล
• น้ำมัน : IEA คาดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐจะลดลงสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่า การผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) ของสหรัฐ จะปรับตัวลดลง 600,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2016 และคาดว่าจะลดลงอีก 200,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2017ด้านเบเกอร์ ฮิวจ์สรายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันว่าลดลงต่ออีก 9 แท่นเป็น 413 แทน่ ในสัปดาห์ก่อน ซึ่งตํ่าสุดนับตั้งแต่ธ.ค.2009
+ ราคาน้ำมัน : ดีดขึ้นในวันจันทร์ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI และBRENT ส่งมอบมี.ค.และเม.ย.เพิ่มขึ้น 1.84 และ 1.68 ดอลลาร์ปิดที่ 31.48และ 34.69 ดอลลาร์/บาร์เรล เพราะ IEA คาดการณ์ว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐจะลดลงในปีนี้และปี 2017
+ ราคาทองคำ : วันจันทร์ปรับขึ้นราว 0.4% สัญญาตลาด COMEXส่งมอบเดือนเม.ย.ปิด +4.5 ดอลลาร์ที่ 1,230.8 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยหลักมาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ และความผันผวนสูงของราคาน้ำมันดิบ
• การเมืองต่างประเทศ : จีนเยือนสหรัฐเพื่อหารือเรื่องเกาหลีเหนือรัฐมนตรีต่างประเทศของจีนจะเยือนสหรัฐ 3 วันในสัปดาห์นี้ เพื่อหารือประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเกาหลีเหนือ หลังจากที่เกาหลีเหนือทดลองนิวเคลียร์และขีปนาวุธไปเมื่อเร็วๆนี้
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
+ กลุ่มพลังงาน : กำไรสุทธิปี 2016 คาดว่าจะขยายตัวก้าวกระโดดหลังจากที่มีการตั้งสำรองด้อยค่าก้อนใหญ่มากในปี 2015 จนทำให้กำไรสุทธิของบริษัทขนาดใหญ่อย่าง PTT ลดลงเหลือเพียง 19.9 พันล้านบาทจากที่เป็น Core Profit 98.8 พันล้านบาท ซึ่งฉายภาพว่าถ้าในปี 2016 ไม่มีการตั้งสำรองด้อยค่าขนาดใหญ่และผลขาดทุนในสต็อกน้ำมันดิบลดลง (ซึ่งคาดว่าจะเป็นเช่นนั้น) กำไรสุทธิ PTT และกลุ่มพลังงานก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดมาก และช่วยหนุนให้กำไรสุทธิตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นด้วยในด้าน Valuation ก็จูงใจ โดยกลุ่มพลังงานซื้อขายที่ P/BV เฉลี่ย 1.1 เท่าต่ำกว่าในช่วง 1 ปีก่อนที่ 1.4-1.5 เท่า เรามีมุมมองที่ดีขึ้นกับกลุ่มพลังงานในปี 2016 แม้ว่าราคาน้ำมันที่ผันผวนอาจทำให้ผลประกอบการยังค่อนข้างแกว่ง แต่เชื่อว่าภาพรวมกำไรของทั้งปี 2016 จะดีขึ้นจากปีก่อนค่อนข้างแน่นอน ฝ่ายวิจัยฯ DBSV แนะนำซื้อ PTT (ราคาพื้นฐาน 350 บาท), แนะนำซื้อ BCP (ราคาพื้นฐาน 33 บาท)
+ IVL (ราคาปิด 21.80 บาท) : กำไรสุทธิปี 2015 ออกมาแล้ว พบว่าผลิตภัณฑ์ที่เป็น High Value-added (HVA) มีกำไรที่ดีขึ้น และเป็นตัวหลักที่ทำให้ Core profit ขยายตัว นอกแหนือจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นตามการเข้าซื้อกิจการ ซึ่ง Product Mixed และ Economy of scale จะยังช่วยให้มาร์จิ้นขยับขึ้นต่อ สำหรับกำไรสุทธิปี 2016 คาดว่าจะมาจากปริมาณขายที่เติบโตจากการเข้าซื้อกิจการและประสิทธิภาพในการทำกำไรที่ดีขึ้น แนะนำซื้อลงทุน โดยฝ่ายวิจัยฯ DBSV ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 33 บาท
+ TMT (ราคาปิด 9.25 บาท) : หนึ่งในหุ้นที่จ่ายปันผลสูงอย่างสม่ำเสมอ รายงานกำไรสุทธิปี 2015 เท่ากับ 321 ล้านบาท EPS : 0.74บาท/หุ้น ดีกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ 6% และบริษัทประกาศจ่ายปันผลสำหรับปี 2015 เท่ากับ 0.65 บาท กำหนด XD วันที่ 2 มี.ค.2016 ชำระเงิน 12 เม.ย.2016 (จ่ายปีละ 1 ครั้ง) ซึ่งคิดเป็น Dividend Yield 7.0% นับว่าจูงใจ
TMT เป็นบริษัทค้าเหล็กที่ครบวงจร และมีผลประกอบการผันผวนน้อยกว่าผู้ประกอบการเหล็กขั้นกลาง (เช่น GSTEL, GJS, SSI) และมีการบริหารจัดการได้มีประสิทธิภาพ จึงสามารถทำกำไรได้ค่อนข้างมีเสถียรภาพแม้ในช่วงอุตสาหกรรมซบเซามาก แนวโน้มปี 2016 ยังไปได้ดี โดยบริการครบวงจร ซึ่งรวมถึงการบริหารสินค้าคงคลังให้ลูกค้าทำให้มียอดขายและส่วนแบ่งการตลาดที่ดีขึ้นเป็นลำดับ
เราคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2016 เติบโต 12% เป็น 359 ล้านบาท EPS : 0.82บาท และประมาณการเงินปันผลสำหรับ 1 ปีข้างหน้าไว้ที่ 0.70 บาท คิดเป็นDividend Yield ของปี 2016F เท่ากับ 7.6% แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน10.70 บาท อิงกับ P/E ปี 2016 ที่ 13 เท่า
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค –[email protected]