- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 19 February 2016 17:08
- Hits: 1254
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ Fund Flow
ตลาดหุ้นวานนี้:
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ SET INDEX เปิดบวกขึ้นไปทดสอบด่านสำคัญ 1,295-1,300 จุด แต่ยังไม่ผ่าน เกิดแรงขายในกลุ่ม ICT / รับเหมาก่อสร้าง ต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า ขณะที่หุ้นเด่น AOT / PTT / PTTEP / SCC ช่วยประคองในภาพรวมของ SET INDEX ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX บวก 6.12 จุด มาอยู่ที่ 1,294.59 จุด มูลค่าการซื้อขาย 46,993 ล้านบาท
เม็ดเงินทุนต่างชาติหนาแน่น ซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 4 อีก 1,245 ล้านบาท Long สุทธิใน EST50 Index Futures มากถึง 11,919 สัญญา แม้จะขายสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 2 มากถึง 5,027 ล้านบาทก็ตาม
ปัจจัยสำคัญวันนี้
- ช่วงคาบเกี่ยววันหยุดยาวของตลาดหุ้นไทยในวันจันทร์ที่ 22 ก.พ.
- กระแสเงินทุนต่างชาติที่ลงทุนทั้งตลาด Spot และ Futures อย่างหนาแน่นเป็นปัจจัยที่น่าจับตามอง
ปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า
- ตัวเลขการส่งออก - นำเข้า เดือนม.ค. ของไทย
- การประชุม ครม. คาดรองนายกฯ สมคิด นำเสนอมาตรการกระตุ้นระยะสั้นวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท
- การทยอยประกาศงบการเงิน 4Q58
มุมมองต่อตลาด
ทิศทางการเคลื่อนไหวของ SET INDEX วันนี้ เราเชื่อว่ามีโอกาสปิดยืนเหนือ 1,300 จุดได้อีกครั้ง พร้อมมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นระดับ 4.5 หมื่นล้านบาท +/- แม้ว่าต้นสัปดาห์หน้าจะเป็นวันหยุดยาวของตลาดหุ้นไทยก็ตาม แต่บรรยากาศและภาวะการลงทุนค่อนไปทางบวก จากปัจจัยสนับสนุนคือ
- ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังทรงตัวเหนือ US$30/barrel สำหรับ NYMEX ราคา ณ ปัจจุบัน สะท้อนปัจจัยเสี่ยงของภาวะ Oversupply ไปมากแล้ว
- เมื่อโอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 16 มี.ค. เป็นไปได้ยากมากขึ้น ทิศทางค่าเงินดอลาร์สหรัฐฯ จะทรงตัวได้ดีขึ้น กลายเป็นการเปิดโอกาสให้เงินทุนต่างชาติกลับเข้าเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะตลาดหุ้นเกิดใหม่อย่างตลาดหุ้นไทยที่ Valuation และผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจ
- ผลการดำเนินงานที่ทยอยประกาศออกมาส่วนใหญ่เท่ากับ หรือ ดีกว่าคาดเป็นส่วนใหญ่ ช่วยปิด Downside risk ของการปรับประมาณการ EPS ตลาดหุ้นไทยจำกัดมากขึ้น
- ผลตอบแทนจากเงินปันผล ณ ปัจจุบัน 3.56% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 3.31%
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยคือ การใช้จ่าย/ การลงทุนของภาครัฐ ที่ดูเสี่ยงต่อความล่าช้าไปจากแผน ทำให้สถาบันภายในประเทศ ปรับพอร์ตจาก Domestic Play ไปยัง Global Play อย่างกลุ่มพลังงาน / ปิโตรเคมี / กลุ่มท่องเที่ยว ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของกลุ่ม Domestic Play อย่างกลุ่มธนาคาร / รับเหมาก่อสร้าง / วัสดุก่อสร้าง ยังมีความเสี่ยงต่อประมาณการกำไรสุทธิในปีนี้จำกัด ในความเห็นของเรา ดังนั้นนักลงทุนระยะกลาง 6 เดือนขึ้น ควรถือพอร์ตหุ้นที่มีกลุ่ม Domestic Play พร้อมหาจังหวะเพิ่มน้ำหนักเมื่อราคาปรับฐานลงแรง ภายใต้ปัจจัยพื้นฐานที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่พอร์ตเก็งกำไรระยะสั้น อาจหาจังหวะการเข้าเก็งกำไรในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งเป็นกลุ่ม High beta เพราะเรายังคงเชื่อมั่นว่าทีมเศรษฐกิจ ของรัฐบาล จะยังเดินหน้าตามแผนการลงทุนที่วางไว้
ขณะที่ปัจจัยในสัปดาห์หน้า เราให้น้ำหนักกับตัวเลขการส่งออก - นำเข้า เดือนม.ค.ของไทย แน่นอนว่ายังมีความเสี่ยงที่ส่งออกจะติดลบเป็นเดือนที่ 13 เพราะภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอ่อนแอ และสอดคล้องไปกับประเทศอื่นๆ จึงไม่น่าจะกดดันจิตวิทยาการลงทุนไทยมากนัก
กลยุทธ์การลงทุน
เราแนะนำให้ "นักลงทุนกลับมาทยอยสะสมหุ้นเป้าหมาย เมื่อราคาย่อตัวระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย" หลังแนะนำให้ทยอยขายทำกำไรบริเวณ 1,290-1,300 จุดวานนี้
Speculative Buy: KBANK/ PS
Stock Pick of the Day
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ "เก็งกำไร" ได้แก่
1. PS : ราคาปิด 24.80 บาท ราคาเหมาะสม 33.30 บาท
a) PS จะรายงานงบ 4Q58 ในวันนี้ โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโต +36.6% yoy และ +57.5% qoq เป็น 2,565 ล้านบาท ทำระดับสูงสุดใหม่ จากอานิสงค์ของมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐฯซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่เดือน พ.ย.ที่ผ่านมา
b) คาดผลประกอบการ 1Q59 จะเติบโต qoq และทำระดับสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง จากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐฯ ซึ่งจะหมดอายุลงในสิ้นเดือน เม.ย. จึงเป็นปัจจัยช่วยกระตุ้นยอดโอนใน 1Q59 ให้เร่งตัวขึ้นได้ดี
c) ตั้งเป้า Presales ปี 2559 เติบโต 20% yoy ที่ 5.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนได้แก่ บ้านเดียว 25%, ทาวน์เฮาส์ 47% และ คอนโดมิเนียม 28% และคาดว่ากำไรสุทธิปี 2559 จะเติบโต +4.9% yoy เป็น 7,605 ล้านบาท และเป็นระดับสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
d) ซื้อขายที่ PER2559 ระดับ 7.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 7 ปีที่ 9.8 เท่า และหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่ม เช่น LH ที่ 13.4 เท่า
2. KBANK : ราคาปิด 164.50 บาท ราคาเหมาะสม 200.00 บาท
a) MBKET คาดว่าหุ้นกลุ่มธนาคารจะ Outperform ตลาด เนื่องจากได้อานิสงค์โดยตรงจากการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติที่ทยอยกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นเอเซียเกิดใหม่
b) กลุ่มธนาคารใหญ่จะเริ่มทยอยประกาศเงินปันผลในสัปดาห์หน้า โดยคาดการณ์เงินปันผล 2H58 หุ้นละ 2.90 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 1.7%
c) คาดสินเชื่อปี 2559 จะเติบโตสูงกว่าปีที่ผ่านมา จากภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และส่งผลให้ความต้องการใช้สินเชื่อของภาคเอกชนขยายตัว ขณะที่คุณภาพของสินทรัพย์ คาดว่า NPL จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง และมีโอกาสทรงตัวหรือลดลงได้ใน 2H59 ซึ่งจะส่งผลให้การตั้งสำรองของธนาคารลดลง
d) ผลักดันให้กำไรสุทธิปี 2559 เติบโต +8.8% yoy เป็น 4.29 หมื่นล้านบาท และปัจจุบันซื้อขายระดับ PBV 2559 ที่ 1.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 1.8 เท่า
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3 อีก US$500 ล้าน จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$123 ล้าน
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยหนาแน่นต่อเนื่องเป็นวันที่ 2
นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 4 อีก 1,245 ล้านบาท รวม 4 วันทำการซื้อสุทธิ 4,737 ล้านบาท และทำให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิสะสมลดลงเป็น 9,848 ล้านบาท
และ SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมา Long สุทธิอีกครั้ง มากถึง 11,919 สัญญา คาดเป็นการกลับมาเปิดสถานะ Long อีกครั้ง เมื่อ SET50 Index ปิดยืนเหนือ 820 จุด และ S50H16 ปิดต่ำกว่า SET50 Index กว้างขึ้นเป็น 7.53 จุด จากวันก่อนหน้า Discount เพียง 5.51 จุด ทำให้ QTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Long สุทธิมากถึง 99,933 สัญญา
แม้ตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้คงการขายสุทธิเป็นวันที่ 2 มากถึง 5,027 ล้านบาท รวม 2 วันทำการขายสุทธิ 6,790 ล้านบาท เทียบกับ 6 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 21,997 ล้านบาท ส่งผลให้ราคาพันธบัตรไทยแกว่งในกรอบแคบ ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 1.66bps จากวันก่อนหน้าลดลงมากถึง 7.66bps ปิดที่ 2.045%
Short-Selling วานนี้
ลดลงเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ แต่ยังอยู่ในระดับที่หนาแน่น 1,387 ล้านนบาท จากวันก่อนหน้า 1,524 ล้านบาท
NVDR Movement
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5 กลับมาเน้นกลุ่มธนาคารอีกครั้ง
การซื้อขายผ่าน NVDR ซื้อสุทธิเร่งขึ้นเป็น 1,102 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 807 ล้านบาท รวม 5 วันทำการซื้อสุทธิ 3,718 ล้านบาท โดยกลับมาเน้นกลุ่มธนาคารอีกครั้ง หลังจากสะสมกลุ่มพลังงานมาอย่างต่อเนื่อง สรุปภาพการลงทุนได้ดังนี้
1. กลุ่มธนาคารกลับมาถูกซื้อสุทธิสูงสุดอีกครั้ง 510 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 180 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มพลังงาน ซื้อสุทธิ 246 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 306 ล้านบาท กลุ่มวัสดุก่อสร้างซื้อสุทธิ 152 ล้านบาท และกลุ่มอสังหาฯ ซื้อสุทธิ 112 ล้านบาท
2. ส่วนกลุ่ม ICT ขายสุทธิสูงสุด 82 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มขนส่งขายสุทธิ 82 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ - การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
OECD ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกปีนี้ลง: ประเมินเศรษฐกิจโลกปีนี้เติบโต 3.0% ลดลงจากการประเมินเดือนพ.ย.ที่ 3.3% โดยมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจของบราซิล, เยอรมัน, แคนาดา และ สหรัฐฯ ลงอย่างมีนัยยะสำคัญ เนื่องจากความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน การปรับเปลี่ยนของอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดเกิดใหม่ และผลของการมีระดับหนี้สาธารณะที่สูง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
ยุโรป
ไม่มี
จีน
อัตราเงินเฟ้อในจีนเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง: เดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 1.8% yoy เร่งขึ้นจากเดือนธ.ค.ที่ 1.6% yoy แต่ยังคงต่ำกว่าที่ตลาดคาด 1.9% yoy ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อที่เร่งขึ้นเป็นเพียงชั่วคราวจากผลของเทศกาลตรุษจีนเท่านั้น อุปสงค์ภายในประเทศยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัว ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนม.ค. -5.3% yoy ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด -5.3% yoy แต่ชะลอตัวจากเดือนธ.ค.ที่ -5.9% yoy
ธนาคารกลางจีนเตรียมเปิดทำการทุกวันทำการ: ธนาคารกลางจีนจะปรับขั้นตอนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง ณ ปัจจุบัน การเปิดทำการของธนาคารกลางจีนทุกๆ วัน เป็นเพียงการชั่วคราว หลังสิ้นสุดเทศกาลตรุษจีน ในภาวะปกติก่อนหน้าจะเป็นการเปิดทำการ 2 ครั้ง/สัปดาห์เท่านั้น
เอเชียแปซิฟิก
S&P ลดอันดับความน่าเชื่อถือของซาอุฯ: จาก A Plus/ A-1 เป็น A Minus/ A-2 เมื่อราคาน้ำมันดิบตกต่ำ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อฐานะการคลัง และเศรษฐกิจที่พึ่งพิงน้ำมันเป็นสำคัญ
เศรษฐกิจมาเลเซียเติบโตดีกว่าคาด: 4Q58 ขยายตัว 4.5% yoy ชะลอตัวจาก 3Q58 ที่ 4.7% yoy แต่ดีกว่า Bloomberg consensus คาด 4.1% yoy ส่งผลให้เศรษฐกิจปี 2558 ของมาเลเซียเติบโต 5.0% โดยการเติบโตจากรายได้ และการจ้างงาน ช่วยประคองการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของเศรษฐกิจยังคงอยู่ จากความไม่แน่นอนของปัจจัยภายในอก และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ
ธนาคารกลางอินโดนีเซียปรับลดอัตราดอกเบี้ย: เป็น 7.00% จากเดิม 7.25% สอดคล้องกับ Bloomberg consensus คาด และลด Reserve-Requirement Ratio (RRR) ของสถาบันการเงินลง 100bps เป็น 6.5% เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศชะลอตัวจากราคาน้ำมันดิบ
ไทย
ไม่มี
Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440
Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham Assistant Analyst 662-6586300 x 1530