- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 18 February 2016 22:31
- Hits: 1037
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ปรับขึ้นตามต่างประเทศ'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : PACE (จากถือเป็นซื้อ) TLGF (จากซื้อเป็น ถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยวานนี้ผันผวน โดยปรับลงไปต่ำสุด 1275.72 แล้วดีดกลับในช่วงท้ายมาปิดทรงตัวที่ 1288.47โดยมีแรงซื้อกลับในหุ้นกลุ่มพลังงาน รวมทั้งเลือกซื้อเป็นรายบริษัท เช่น AOT, THAI, STPI, TASCO, TIPCO เป็นต้น นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิแบบมีนัยสำคัญมากขึ้นที่ 2.9 พันล้านบาท รายย่อยซื้อสุทธิ 3 พันล้านบาท สถาบันในประเทศนำขายสุทธิ 6 พันล้านบาท ส่วนพอร์ตบล.ซื้อขายสุทธิไม่มาก คาดว่าในช่วงนี้ที่ราคา Bond พุ่งขึ้นจน Yield ลดลงต่ำมาก นักลงทุนสถาบันที่ทำ Asset Allocation มีการปรับพอร์ตด้วยการลดน้ำหนักการลงทุนใน Bond แล้วเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้น (Equity) แต่การเพิ่มน้ำหนักอาจจะไม่ถึงกับมีนัยสำคัญมาก เพราะหลายสำนักวิจัยมองว่าภาพใหญ่ของตลาดยังเป็น Sideway down
ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้น 6-7% หนุนโดยท่าทีของอิหร่านในการร่วมมือสร้างเสถียรภาพราคาน้ำมันที่ดีเกินคาด หนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน ทั้งบริษัท E&Pคือ PTTEP, PTT และโรงกลั่น เช่น BCP, IRPC, TOP, PTTGC รวมทั้งเป็นปัจจัยจิตวิทยาทางบวกต่อหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและหุ้นกลุ่มรับเหมางานต่างประเทศที่เกี่ยวกับขุดเจาะก๊าซและน้ำมัน เช่น BJCHI, STPI เป็นต้น สำหรับปัจจัยในประเทศก็เป็นเรื่องรายงานผลประกอบการปี 2015 และการจ่ายปันผล ซึ่งหุ้นปันผลสูงหนึ่งที่น่าสนใจ คือ TMT (จ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง กำหนด XD ประมาณต้นมี.ค.ของทุกปี คาด Yield ปี 2015 ไว้ที่6.6%) ส่วนหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เลือกเป็น STPI
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมเป็นบวกเล็กๆ ให้แนวต้านระยะสั้น 1300, 1310-1320 จุด เน้นซื้อตามค่าบวก ค่าลบดูไม่ดี ต่ำกว่า1280 จุด ควรลดพอร์ตตาม สำหรับ SET50 มีแนวต้านระยะสั้น 820, 830-840 จุด และมีจุด Stop loss ที่ 805 จุด และแนวรับ 790, 780-770 จุดการ SCAN หุ้นที่เทคนิคดี ราคามีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น THANI, BWG, STPI ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ KKP, MINTหุ้นที่หลุด List เป็น ASK, VIBHA, AP, TCAP และหุ้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ BBL, THCOM, HFT
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ อิหร่านกล่าวว่าพร้อมร่วมมือสร้างเสถียรภาพราคาน้ำมันทั้งนี้ รัฐมนตรีน้ำมันอิหร่านประกาศในการประชุมรัฐมนตรีน้ำมันของอิหร่านและประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายอื่นวานนี้ (17 ก.พ.) ว่า อิหร่านจะสนับสนุนความพยายามในการสร้างเสถียรภาพราคาน้ำมัน ซึ่งรวมถึงการให้ความร่วมมือกับกลุ่มอเปกและผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปก
+ สหรัฐ : ภาคการผลิตและเงินเฟ้อด้านต้นทุนปรับขึ้นในเดือนม.ค. การผลิตภาคอุตสาหกรรม +0.9% ในเดือนม.ค.16 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ +0.4% ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) +0.1% ในเดือนม.ค.16 สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะ -0.2%
+ สหรัฐ : ความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นสหรัฐสัปดาห์ก่อนดีขึ้น ผลการสำรวจของ Investors Intelligence (II) ระบุว่า จำนวนที่ปรึกษาทางการเงินที่มีความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นสหรัฐ ได้เพิ่มขึ้นสู่ระดับ26.5% ในสัปดาห์ที่แล้วจาก 24.7% ในสัปดาห์ก่อนหน้านี้
• สหรัฐ : เฟดมีแนวโน้มชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย รายงานการประชุมนโยบายการเงินของเฟด 26-27 ม.ค.2016 แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของเฟดมีความกังวลว่าราคาน้ำมันที่ร่วงลงและความปั่นป่วนของตลาดการเงินทั่วโลกซึ่งอาจจะเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งตลาดประเมินว่าเฟดจะชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยคงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% ในการประชุมเดือนมี.ค.2016 นี้
+ ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นต่อเป็นวันที่ 3 โดยดัชนีดาวโจนส์ปิด+257.42 จุดที่ 16,453.83 จุด โดยเป็นการปรับขึ้นต่อเนื่อง 3 วันทำการ ปัจจัยหนุน คือ การปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบและตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ
+ ราคาน้ำมันดิบบวกขึ้น 6-7% สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบมี.ค.ปิด +1.62 ดอลลาร์ที่ 30.66 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเม.ย.ปิด +2.32 ดอลลาร์ที่ 34.50 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ สะท้อนท่าทีอิหร่านที่ให้ความร่วมมือรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน ซึ่งผิดจากที่ตลาดประเมินไว้ว่าอิหร่านจะวางเฉยเพราะต้องการผลิตน้ำมันเพิ่มหลังได้รับยกเลิกการคว่ำบาตร
• สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเม.ย.ปิด +3.2 ดอลลาร์แตะที่ 1,211.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ทั้งนี้ราคาทองคำปรับขึ้นจำกัดลงหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดี และตลาดหุ้นปรับขึ้น
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
+ TMT (ราคาปิด 9.10 บาท) : หนึ่งในหุ้นปันผลสูง แม้คาดว่ากำไรสุทธิปี 2015 จะอ่อนลง 8% เนื่องจากยอดขายหดตัวตามราคาขายเฉลี่ย(ราคา -16%YoY แต่ปริมาณขาย +12%) และมาร์จิ้นอ่อนลงเล็กน้อย แต่คาดว่าจะยังจ่ายปันผลสูง คาดการณ์ไว้ที่ 0.60 บาท/หุ้นและจ่ายปีละ 1ครั้ง (XD ประมาณต้นมี.ค.) ซึ่งคิดเป็น Remaining Yield ที่สูงถึง 6.6%แนวโน้มปี 2016 คาดว่าจะเติบโตดีขึ้นและยังคงจ่ายปันผลได้สูงอย่างต่อเนื่อง แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 10.70 บาท อิง P/E ปี 2016 ที่ 13 เท่า
+ STPI (ราคาปิด 11.60 บาท) : งานส่วนต่อขยายของโครงการIchthy ออสเตรเลียน่าจะมีมาร์จิ้นสูง และทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2016 ของเรามี Upside Risk โดยเมื่อ 29 ม.ค.2016บริษัทได้งานส่วนต่อขยายเข้ามา 85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3พันล้านบาท ซึ่งส่วนนี้คาดว่าจะเป็นงานที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงมากเพราะมีต้นทุนคงที่ต่ำมากๆ นอกจากนั้นเมื่อ 2 ก.พ.2016 ยังได้งานโครงสร้างเหล็ก (สะพาน) ในนิวซีแลนด์อีก 34.2 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 860 ล้านบาทเข้ามาด้วยทั้งนี้งานส่วนขยายและงานใหม่ที่เข้ามาเพิ่มดังกล่าวข้างต้น เราคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นอีก 2 ไตรมาส ซึ่งประเมินได้ว่าด้วยBacklog ที่มีอยู่ในปัจจุบันจะรับรู้รายได้ไปอีก 6 ไตรมาส (ถึงกลางปี2017) ถ้ารับรู้รายได้เฉลี่ยไตรมาสละประมาณ 2 พันล้านบาท และในระหว่างปี 2016 และ 1H17 บริษัทมีโอกาสที่จะได้งานใหม่เข้ามาเพิ่มอีก โดยการพลิกฟื้นของราคาน้ำมันดิบเป็นโอกาสของการได้งานเพิ่มในอนาคต สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2016 ที่เราให้สมมติฐานไว้ที่24% นั้นน่าจะมี Upside Risk เพราะให้สมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นของงานส่วนขยายไว้ที่ 25% ซึ่งออกมาจริงอาจสูงกว่านี้ เราจึงทำSensitivity Analysis ของประมาณการปี 2016F ซึ่งเป็นดังนี้
อัตรากำไรขั้นต้น กำไรสุทธิ EPS ราคาพื้นฐาน
24% (Base Case) 1,849 1.14 13.70
26% 2,018 1.24 14.90
28% 2,178 1.34 16.10
ฝ่ายวิจัยฯ DBSV คงคำแนะนำซื้อ STPI โดยให้ราคาพื้นฐานที่เป็นBase Case เท่ากับ 13.70 บาท อิงกับ P/E ปี 2016 ที่ 12 เท่า ซึ่งมีUpside จากราคาปิดวานนี้ 18% บริษัทมีฐานะเป็นเงินสดสุทธิ ณ สิ้นก.ย.2016 เท่ากับ 5.8 พันล้านบาท คิดเป็น 3.60 บาท/หุ้น
• TASCO (ราคาปิด 25.50 บาท) : กำไรสุทธิ 4Q15 ออกมาตามคาด เท่ากับ 1.2 พันล้านบาท (-19%QoQ แต่ +127%YoY) ส่วนทั้งปี2015 มีกำไรสุทธิ 5.1 พันล้านบาท (+323%) แนวโน้มกำไร 1Q16อ่อนลงเพราะอุปสงค์ในจีนลดตามฤดูกาล (ยอดขายในจีนคิดเป็น20% ของรายได้), งบประมาณสร้างถนนของไทย 1.5 หมื่นล้านบาทเลื่อนออกไป และรายได้ลดตามราคาขายที่อ่อนตัว แต่อัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในเกณฑ์ดี (4Q15 เท่ากับ 21.7% แต่ถ้าไม่รวมกำไรจากHedging จะอยู่ที่ 19.7% เพิ่มจาก 13.3% ใน 3Q15)…ราคาหุ้นปัจจุบัน 25.50 บาทร่วงจาก Peak ของรอบนี้ (ที่ 42 บาท) แล้ว 39%ซึ่งสะท้อนแนวโน้มผลประกอบการปี 2016 ที่จะอ่อนลงจากปีก่อนไปพอสมควร (ทาง DBSV คาดการณ์ EPS ปี 2016 จะ -6% เป็น 3.0บาท/หุ้น) ณ ราคาปัจจุบันมี P/E ปี 2016 เท่ากับ 8.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 12.5 เท่า ในเชิงกลยุทธ์ก็น่าสนใจซื้อเก็งกำไร
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค –[email protected]