- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 12 February 2016 17:28
- Hits: 618
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ Calm Down
ตลาดหุ้นวานนี้:
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ SET INDEX ยังคงแกว่งแคบ 1,300 จุด +/- แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบ NYMEX ที่หลุด US$27/barrel อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยในรอบบ่ายเกิดแรงขายในกลุ่ม ICT / ธนาคารเข้ามาอย่างหนาแน่น แม้ว่าจะไม่มีข่าวที่กระทบต่อตลาดหุ้นไทย กดให้ SET INDEX ลงมาปิดที่ 1,280.74 จุด ลบ 24.00 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 45,363 ล้านบาท
ด้านกระแสเงินทุนต่างชาติ กลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 193 ล้านบาท ซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 3 อีก 2,191 ล้านบาท แม้คงการ Short สุทธิใน SET50 Index Ftures เป็นวันที่ 3 อีก 2,127 สัญญา
ปัจจัยสำคัญวันนี้
MSCI ปรับดัชนีรอบ 3 เดือนพบว่าไม่มีการปรับเข้า - ออก ของ MSCI Thailand
พอร์ตโบรกเกอร์คงซื้อสุทธิ 4,215 ล้านบาท MTD ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อจิตวิทยาการลงทุน
ประธานเฟด ยังคงส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อในปีนี้
คาด TOP จะประกาศจ่ายปันผลมากกว่าคาดที่ 1.60 บาท
ปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า
ติดตามตัวเลข GDP ใน 4Q58 ของไทย เช้าวันจันทร์ที่ 15 ก.พ. Bloomberg consensus คาดเพิ่ม 2.3% yoy แต่เราเชื่อว่าตัวเลขจะออกมาดีกว่าคาดอย่างมีนัยยะสำคัญ
ติดตามรายงานการประชุมเฟดเดือนม.ค. เปิดเผยอย่างเป็นทางการในคืนวันที่ 17 ก.พ.
ตลาดหุ้น / ตลาดล่วงหน้า / ตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐฯ ปิดทำการในวันจันทร์ที่ 15 ก.พ. เนื่องในวันประธานาธิบดี
ติดตามการรายงานงบ 4Q58 คาดว่าจะทยอยประกาศออกมามากยิ่งขึ้น
มุมมองต่อตลาด
SET INDEX ไต่ระดับขึ้นทดสอบระดับปิดสูงสุด 1,307 จุดมาตลอด 5 ครั้งนับตั้งแต่ต้นเดือนก.พ. และไม่สามารถทะลุยืนผ่านได้ และเมื่อบรรยากาศต่างประเทศเข้ามากดดัน ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของค่าเงินในประเทศพัฒนาแล้ว จนทำให้ธนาคารกลางสวีเดนตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก -0.35% เป็น -0.50% ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในยุโรป ออกมาต่ำกว่าคาดมากขึ้น รวมถึงความอ่อนแอของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ทำให้นักลงทุนตัดสินใจขายหุ้นลงมา ทั้งๆ ที่ปัจจัยดังกล่าวมีผลกระทบต่อพื้นฐานตลาดหุ้นไทยอย่างจำกัดก็ตาม
เราประเมินว่า SET INDEX วันนี้จะกลับมาสงบและแกว่งในกรอบแคบอีกครั้งระหว่าง 1,275-1,285/90 จุด หุ้นปันผลที่อยู่ในระดับ 3-4% ในรอบนี้จะเป็นทางเลือกของการพักเงินช่วงสั้น รวมถึงหุ้นกลุ่ม PTT คาดว่าจะจ่ายปันผลมากกว่าที่ตลาดคาด วันนี้ TOP ประกาศงบในช่วงเย็น พร้อมกับปันผลงวด 2H58 ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยประคองภาพรวม
สำหรับ SET INDEX จะกลับขึ้นไปทดสอบและทะลุด่าน 1,307 จุดในต้นสัปดาห์หน้าได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับ GDP ใน 4Q58 ของไทยในช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 15 ก.พ. ตลาดคาดเติบโต 2.3% yoy ขณะที่เราประเมินว่า GDP ในโค้งสุดท้ายของปี 2558 มีโอกาสแตะระดับ 3.0% yoy จากการเกินดุลการค้า / การใช้จ่ายของภาครัฐ / การฟื้นตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศ หากออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด เราเชื่อว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะกลับมาเด่นอีกครั้ง เม็ดเงินทุนต่างชาติ และสถาบันที่ MTD ขายสุทธิ 5,626 ล้านบาท และ 3,793 ล้านบาท ตามลำดับ จะกลับมาลงทุนในหุ้นหลักของตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Domestic Play อย่างกลุ่มธนาคาร / วัสดุก่อสร้าง / อสังหาฯ ซึ่งจะทำให้ SET INDEX มีโอกาสขยับขึ้นทดสอบด่าน 1,310-1,320 จุดในสัปดาห์หน้าได้เช่นกัน
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ ทำให้ค่าเงินในสกุลหลักอย่างเยนญี่ปุ่น ยูโร แข็งค่า จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยจำกัด หรือความอ่อนแอและผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก จะส่งผลกระทบต่อกลุ่มน้ำมันเริ่มจำกัดมากขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่นักลงทุนระมัดระวังไว้ก่อนหน้านี้ ประเด็นสำคัญคือ ตลาดหุ้นจีน และค่าเงินหยวน Onshore ในวันจันทร์ที่ 15 ก.พ. หลังปิดทำการตลอดสัปดาห์นี้ เนื่องในเทศกาลตรุษจีน จะเป็นสิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจ มุมมองของเราเชื่อว่าตลาดหุ้นจีนจะกลับมาฟื้นตัว พร้อมกับค่าเงินหยวนที่มีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะเมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า เงินหยวนย่อมแข็งค่า ช่วยลดแรงกดดันต่อเงินทุนต่างชาติไหลออก
กลยุทธ์การลงทุน
เราแนะนำให้ "นักลงทุนเข้าเก็งกำไรหุ้นเป้าหมายเพิ่มเติม และถือข้ามสัปดาห์" เพื่อไปรอขายในสัปดาห์หน้า
Speculative Buy: TOP / TRC
Stock Pick of the Day
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ "เก็งกำไร" ได้แก่
1. TOP : ราคาปิด 60.25 บาท ราคาเหมาะสม 73.00 บาท
a) ราคาหุ้นปรับตัวลงถึง -5% วานนี้ จาก Sentiment เชิงลบของตลาดหุ้นที่ผันผวน จึงคาดว่าราคาหุ้นมีโอกาสดีดกลับในวันนี้ เนื่องจาก ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เริ่มฟี้นตัวเช้านี้ +4% จากแรงเก็งกำไรว่ากลุ่มโอเปคอาจมีการจัดประชุมเพื่อหารือต่อการลดกำลังการผลิตน้ำมัน
b) และจะรายงานงบ 4Q58 ในวันนี้ โดยคาดการณ์กำไรสุทธิที่ 3,381 ล้านบาท พลิกกลับจากขาดทุนสุทธิ 6,330 ล้านบาท ใน 4Q57 และขาดทุนสุทธิ 2,167 ล้านบาท ใน 3Q58
c) คาดการณ์เงินปันผล 2H58 หุ้นละ 1.60 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 2.6% และเชื่อว่ามีโอกาสที่ปันผลจะออกมาสูงกว่าคาดการณ์ หลังหุ้นในกลุ่ม PTT ที่ประกาศเงินปันผลแล้ว เช่น PTTEP, IRPC ล้วนจ่ายเงินปันผลมากกว่าคาดการณ์ของตลาด
d) Valuation ไม่แพง ซื้อขายระดับ PER2559 ที่ 8.2 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในเกณฑ์ดีที่ 5.5%
2. TRC : ราคาปิด 2.14 บาท ราคาเหมาะสม 2.80 บาท
a) TRC แจ้งตลาดวานนี้ ว่าได้รับ Letter of Award (LOA) งานก่อสร้างเหมืองแร่โปรแตซ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี โดยคาดว่าจะลงนามในสัญญาได้ใน 3Q หรือ 4Q59
b) ส่งผลให้ Backlog เพิ่มขึ้นเป็น 4 หมื่นล้านบาท รองรับการเติบโตของรายได้อีกอย่างน้อย 3 ปีข้างหน้า และคาดว่าจะรับรู้รายได้งานก่อนสร้างใน 2H59 ประมาณ 2.3 - 3 พันล้านบาท
c) ดังนั้น เราคาดว่ารายได้ปี 2559 จะเติบโต +143% yoy เป็น 8,500 ล้านบาท และต่อเนื่อง +18% yoy ในปี 2560 เป็น 10,000 ล้านบาท ผลักดันให้กำไรสุทธิเติบโตโดดเด่นถึง +100% yoy ในปี 2559 เป็น 541 ล้านบาท และ +19% yoy เป็น 643 ล้านบาทในปี 2560
d) ซื้อขายระดับ PER2559 ที่ 17.8 เท่า แต่จะเทียบเท่า PEG เพียง 0.2 เท่า เนื่องจากมีการเติบโตของกำไรสุทธิปี 2559 ที่สูง นอกจากนั้น ยังมี Upside Risk ต่อประมาณการรายได้คือโครงการวางท่อก๊าซขนาดใหญ่ของกลุ่ม PTT ที่คาดว่าจะทราบผลการประมูลใน 2H59
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
ขายสุทธิเร่งขึ้นเป็น US$175 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$93 ล้าน
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติยังคงปิดสถานะ Long ใน Set50 Index Futures เป็นวันที่ 3
นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ หลัง SET INDEX ปรับฐานลงแรง แม้ว่าจะซื้อสุทธิเพียง 193 ล้านบาท เทียบกับ 2 วันทำการก่อนหน้าขายสุทธิ 5,048 ล้านบาท ส่งผลให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิยังคงเหนือ 10,000 ล้านบาท เป็น 13,592 ล้านบาท
แต่ SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ short สุทธิเป็นวันที่ 3 เร่งขึ้นเป็น 2,127 สัญญา รวม 3 วันทำการ Short สุทธิ 6,745 สัญญา เทียบกับ 3 วันทำการก่อนหน้า Long สุทธิ 28,184 สัญญา คาดเป็นการปิดสถานะ Long ต่อเนื่อง เมื่อ SET50 Index หลุดแนว 810 จุด ทำให้นักลงทุนกลุ่มนี้ต้องเร่งปิดสถานะ Long และทำให้ S50H16 ปิดต่ำกว่า SET50 Index กว้างขึ้นเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ เท่ากับ 10.15 จุด จากวันก่อนหน้า Discount เพียง 4.54 จุด ทั้งนี้ QTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Long สุทธิยังคงทะลุ 80,000 สัญญา แต่ลดลงเป็น 81,036 สัญญา
และตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้คงการซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3 เร่งขึ้นเป็น 2,191 ล้านบาท รวม 3 วันทำการ ซื้อสุทธิ 3,347 ล้านบาท โดยที่ราคาพันธบัตรไทยขยับขึ้นต่อเนื่อง ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลงเป็นวันที่ 4 มากถึง 11.58bps จากวันก่อนหน้าลดลง 5.16bps ปิดที่ 2.014%
Short-Selling วานนี้
กลับมาหนาแน่น 1,174 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 532 ล้านบาท
NVDR Movement
NVDR ขายสุทธิเป็นวันที่ 2 ยังคงเน้นลดน้ำหนัก BIGC เป็นหลัก
การซื้อขายผ่าน NVDR ขายสุทธิอีก 354 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 1,453 ล้านบาท เป็นการปรับน้ำหนักการลงทุนระหว่างกลุ่มหลัก รวมถึงการทยอยขาย BIGC ต่อเนื่อง หลังเหลือ upside ที่จำกัด สรุปภาพรวมได้ดังนี้
1. กลุ่ม ICT ถูกซื้อสุทธิสูงสุด 136 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 74 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มพลังงาน ซื้อสุทธิ 123 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 36 ล้านบาท กลุ่มธนาคาร ซื้อสุทธิ 122 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 279 ล้านบาท
2. ส่วนกลุ่มค้าปลีก ยังคงถูกขายสุทธิสูงสุดเป็นวันที่ 2 อีก 254 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 1,244 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มขนส่งขายสุทธิ 165 ล้านบาท กลุ่มวัสดุก่อสร้างขายสุทธิ 125 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ - การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
ถ้อยแถลงของประธานเฟดต่อวุฒิสภา กล่าวถึงดอกเบี้ยติดลบ:
วุฒิสภา ให้ความสนใจกับอำนาจหน้าที่ของเฟดที่จะสามารถลดอัตราดอกเบี้ยลงไปติดลบได้หรือไม่ หลังประธานเฟดเริ่มให้มีการทดสอบการใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบ หากเศรษฐกิจชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม ประธานเฟดให้ความเห็นว่า การใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบน้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ในช่วงปี 2553 เพียงแต่การที่อียู และประเทศอื่นๆ ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ เป็นสิ่งที่เราต้องติดตามเพื่อเตรียมตัว หากเรายังต้องเดินหน้าปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวด
การตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา จะยังเป็นลักษณะของการขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่การลดอัตราดอกเบี้ย แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงเกิดขึ้นอย่างมากมาย แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้การปรับนโยบายดอกเบี้ยเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยได้ และเฟดยังไม่เห็นปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว
ยอดขอสวัสดิการว่างงานออกมาดีกว่าคาด: สัปดาห์ล่าสุดอยู่ที่ 2.69 แสนตำแหน่ง ต่ำกว่าที่ Bloomberg consensus คาด 2.81 แสนตำแหน่ง และสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.85 แสนตำแหน่ง
ยุโรป
ธนาคารกลางสวีเดนลดดอกเบี้ย: อัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก -0.35% เป็น -0.50% เมื่อค่าเงิน Krona แข็งค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับที่ Bloomberg consensus คาด ทั้งนี้ธนาคารกลางยืนยันเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลอย่างต่อเนื่องตามแผน 1H59 และจะนำเงินที่ครบกำหนดไปลงทุนต่อ รวมถึงดอกเบี้ยรับที่ได้จากพันธบัตรที่ซื้อเข้ามา
จีน
ไม่มี
เอเชียแปซิฟิก
ธนาคารกลางออสเตรเลียยืนยันนโยบายการเงินยังคงยืดหยุ่นได้: และพร้อมที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินได้อีก หากจำเป็นต้องเข้าช่วยประคองเศรษฐกิจ ทั้งนี้ประเด็นสำคัญคือ ตลาดเงินที่ผันผวน จะเป็นปัจจัยลบที่มีนัยยะสำคัญต่ออุปสงค์ในออสเตรเลียและต่างประเทศ
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของมาเลเซียดีกว่าคาด: ขยายตัว 2.7% yoy ในเดือน ธ.ค. เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนที่ +1.8% yoy และมากกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดขยายตัว 1.0% yoy นำโดยภาคการผลิตและไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น 4% และ 5.6% yoy ตามลำดับ ขณะที่อุตสาหกรรมเหมืองแร่หดตัว 1.5% yoy
ธนาคารกลางฟิลิปปินส์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย: อยู่ที่ระดับ 4.000% สำหรับดอกเบี้ยเงินกู้ และ ดอกเบี้ยเงินฝาก 2.500% โดยเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 11 เนื่องจากเศรษฐกิจที่เติบโตในอัตราเร่งโดยมีอุปสงค์ในประเทศเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ทำให้ธนาคารกลางฟิลิปปินส์มีความยืดหยุ่นในการประเมินปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศ, ความผันผวนของตลาดหุ้นและราคาน้ำมันดิบ
ไทย
ธปท.มองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวค่อยเป็นค่อยไป: ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ปีนี้คาดเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และยังมีความเสี่ยงในการขยายตัวด้านต่ำอยู่ค่อนข้างมาก ขณะที่แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้จะมาจากปัจจัยในประเทศเป็นหลัก ทั้งการบริโภค การลงทุนภาคเอกชนและภาครัฐ ขณะที่ด้านการต่างประเทศนั้น การท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี แต่การส่งออกน่าจะยังทรงตัว จึงมองว่าการท่องเที่ยวยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน ทั้งนี้ ธปท.คาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่ 3.5% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัวได้ราว 2.8% แต่การฟื้นตัวกระจุกตัว และที่น่าเป็นห่วงคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยไม่ได้กระจายไปยังภาคการเกษตร หรือ ภาคเศรษฐกิจในชนบท เนื่องจากรายได้ของเกษตรกรยังถูกกดดันจากราคาสินค้าเกษตรที่อยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งปัญหาภัยแล้ง ประกอบกับภาระหนี้สินของคนในชนบทอยู่ในระดับสูง จึงมีผลกระทบต่อการใช้จ่ายและความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือน
Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440
Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham Assistant Analyst 662-6586300 x 1530