WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASP copyบล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

 

กลยุทธ์การลงทุน
     Dollar Index ยังอ่อนค่าต่อเนื่อง หลัง Fed มีท่าทีชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่ธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลกยังใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายหนุนสินทรัพย์เสี่ยง (ทองคำ และ น้ำมัน แม้ ช่วงสั้นอาจมีการปรับฐาน โดย SET วันติดแนวต้าน 1,314 จุด กลยุทธ์เลือกหุ้นปันผลเด่น คือ ADVANC(FV@B187) เป็น Top pick

ผลสำรวจนักวิเคราะห์มอง SET ปี 2559 sideway up
       วานนี้สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ได้เปิดเผยผลสำรวจนักวิเคราะห์ และผู้ลงทุนสถาบัน (IAA Consensus) ครั้งที่ 1/59 ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น ความเห็นส่วนใหญ่กว่า 78.57% มองปี 2559 มีแนวโน้มเป็น sideway up มีส่วนน้อยราว 17.86% มองเป็นขาลง ที่เหลือ 3.57% เห็นว่าทรงตัว โดยคาดการณ์ดัชนีเฉลี่ย ณ สิ้นปี 2559 อยู่ที่ 1,442 จุด เทียบกับดัชนีปัจจุบัน จะเห็นว่ามี upside อยู่อีกราว 10.3% โดยประเมินระดับสูงสุดของดัชนีคาดอยู่ที่ 1,501 จุด และจุดต่ำสุดคาดอยู่ที่ 1,163 จุด ทั้งนี้ ทั้งนี้ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากปัจจัยในประเทศ คือ โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ (โดยคาดในปีนี้จะมีการเปิดประมูลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่มูลค่ารวมกว่า 6.3 แสนล้านบาท จาก 1.8 ล้านล้านบาทหลังรัฐบาลได้ปรับแผนการลงทุน ระยะเร่งด่วนกว่า 20 โครงการ ให้มีความกระชับมากขึ้น) ถัดมาคือ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทย ที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นหลังจากรัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ก.ย. 2558 ตามด้วยการลงทุนภาคเอกชน อัตราการบริโภค ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อและการส่งออก ส่วนปัจจัยที่อาจมีผล คือ ปัจจัยต่างประเทศ ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซ เป็นต้น
สำหรับตลาดน้ำมัน มีความเห็นที่ขัดแย้งกัน โดย 42.3% มองว่าแนวโน้มตลาดน้ำมันยังอยู่ในขาลง

      ขณะที่ 19.2% มองว่าทรงตัว และ 30.8% คาดว่าราคาน้ำมันน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยเหตุผลสนับสนุนคือ ความขัดแย้งในตะวันออกกลางซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก รองลงมาคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั้งนี้ ได้มีการปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ Brent อยู่ที่ 41.1 เหรียญต่อบาร์เรล ลดลงจากคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 70.1 เหรียญต่อบาร์เรล เทียบกับระดับราคาปัจจุบันที่ราว 30 เหรียญต่อบาร์เรล จึงมองว่าราคาน้ำมันยังมีโอกาสขึ้นต่อได้
      ทั้งนี้ ผลการสำรวจยังระบุว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) ปี 2559 จะอยู่ที่ 3.3% ลดลงจาดคาดการณ์เดิมที่ 3.8% ขณะที่กำไรต่อหุ้นของตลาด (EPS) อยู่ที่ 92.0 บาท ลดลงจากประมาณการครั้งก่อนที่ 109.5 บาท และมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ที่ 19.1% เนื่องจากฐานที่ต่ำในปี 2558 ที่มีกำไรต่อหุ้นราว 73 บาท เพระผลจากการขาดทุนสต็อกน้ำมัน การตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ของกลุ่มพลังงาน และการตั้งสำรองหนี้ฯ ของกลุ่มธ.พ. สำหรับกลุ่มฯ ที่มี EPS Growth เติบโตสูงสุดในปี 2559 คือ กลุ่มพลังงาน 105.9% รองลงมาคือกลุ่มปิโตรเคมี 22.4%
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง มีอัตราตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) สูงและสม่ำเสมอ รวมทั้งมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เป็นบวกต่อเนื่อง (สำหรับหุ้นปันผลเด่น สามารถติดตามอ่านได้จากรายงานวันที่ 29 ม.ค. ที่ผ่านมา) กับอีกส่วนหนึ่งคือลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐ

นักวิเคราะห์ ASPS เตรียมปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้น ICT เป็นเท่าตลาด
นักวิเคราะห์ ASPS เตรียมปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้น ICT จากเดิมที่น้อยกว่าตลาด เป็นเท่ากับตลาด ทั้งนี้ภาพธุรกิจมีความชัดเจนมากขึ้นอย่างน้อยใน 2 เรื่องคือ
1. คลื่นความถี่ที่จะนำมาประมูลมิได้ขาดแคลนอย่างที่ตลาดกลัว กล่าวคือ คาดว่าจะมีคลื่น 2600 ที่เป็นของ MCOT ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 144 MHz จะถูกนำออกมาประมูลบางส่วนคือ ราว 60 MHz ในปี 2560 (แต่จะครบกำหนดในปี 2575 ซึ่ง กสทช ต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับ MCOT) ซึ่งจะดีต่อ DTAC ที่เดิมคาดว่าจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากมีคลื่นภายใต้ใบอนุญาตน้อยสุด และ ตามมาด้วย ADVANC
2. ผู้ที่ชนะประมูลคลื่น 900 MHz ยังมิอาจจะสรุปจะเป็นผู้ชนะ เพราะการแย่งชิงลูกค้าเดิมของ ADVANC ที่อยู่บนคลื่น 900 MHz ซึ่งค้างอยู่กว่า 12 ล้านราย คิดเป็นรายได้ต่อปี 2.0 หมื่นล้านบาท ขณะนี้ ADVANC ยังมีเวลาในการโยกย้ายลูกค้ากลุ่มนี้มายังคลื่น 3G จนกว่าผู้ชนะประมูลทั้ง 2 ราย (TRUE, JAS) จะนำเงินค่าประมูลงวดแรกจ่ายให้ กสทช ซึ่งกำหนดเส้นตายวันที่ มี.ค. 2559 (ซิมดับ) ขณะเดียวกัน ADVANC ได้เช่าเสา และ เครือข่าย 900 MHz ที่โอนให้กับ TOT ก่อนสัมปทานสิ้นสุด ทำให้เป็นอุปสรรคที่ TRUE จะดึงลูกค้าส่วนนี้ไปจาก ADVANC ขณะเดียวกัน ADVANC มีแผนการตลาด เช่น แจกเครื่องลูกข่ายแก่ลูกค้าที่ยังอยู่ที่ 2G ให้โอนมา 3G ฟรี สิ่งเหล่านี้ทำให้ ADVANC อาจจะสูญเสียลูกค้ากลุ่มนี้น้อยกว่าคาด (ASPS คาดไว้ 7 ล้านราย หรือ ราว 40% ของ 2 หมื่นล้านบาท)


ทั้งนี้หลังจากที่หุ้น ICT ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วนับจากการ ประมูลคลื่น 4G (1800 MHz ต้นทุนเกิน 4.0 หมื่นล้านบาท (TRUE, ADVANC), และ 900 MHz ต้นทุนเฉลี่ย 7.5 หมื่นล้านบาท (TRUE, JAS)) เสร็จสิ้นในเดือน ธ.ค. พบว่าต้นทุนค่าประมูล สูงกว่าสมมติฐานมาก (นักวิเคราะห์ ASPS ประเมินไว้ 2 หมื่นล้านบาท เทียบกับคลื่น 3G 1800 MHz ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท) ทำให้นักวิเคราะห์ ASPS มีการปรับลดประมาณการปี 2559 ลงจากเดิม 35% และ ปรับลดปี 2560 ลงอีก 25% โดยเป็นการปรับลด TRUE มากสุด (เป็นขาดทุนปีละ 9 พันล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะมีกำไร) JAS ปรับลดลง 183% ในปี 2559 และ ลดลง 262% ปี 2560 (เป็นขาดทุน 3.6 พันล้านบาท และ ขาดทุน 5.6 พันล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะมีกำไร 4.3 พันล้านบาท และ 3.5 พันล้านบาท) และ ADVANC ปรับลดลง 26% และ ลดลง 24% ตามลำดับ ยกเว้น DTAC ที่ยังคงประมาณการเดิม เพราะยังไม่ได้ใบอนุญาตใหม่ จึงยังคงต้องให้บริการภายใต้สัมปทานเดิม 55 Mhz และใบอนุญาต 3G 15 MHz (ภายใต้คลื่น 1800 MHz) โดยมีต้นทุนคงที่ (ประกอบด้วย ค่าสัมปทานเดิม มีส่วนแบ่งรายได้ 30% กับค่าใบอนุญาต 2100 MHz +ใบอนุญาตจะมีส่วนแบ่งรายได้ 5.25%) เฉลี่ย 20% ของรายได้รวม ซึ่งยังต่ำกว่าของ TRUE ที่เฉลี่ยสูงถึง 27% (หลังรวมทุกคลื่น) และ JAS เฉลี่ย 5 ปีอยู่ที่ 110% ขณะที่ ADVANC เฉลี่ยต่ำสุดเพียง 10.95% ทั้งนี้ต้นทุนคงที่ยังไม่รวมการลงทุนในโครงข่ายที่แต่ละรายต้องลงทุนเฉลี่ย 2-3 หมื่นล้านบาท ซึ่ง ADVANC เป็นผู้ที่มีกระแสเงินสด (CFO) สูงสุดปีละ 5 หมื่นล้านบาท จึงมีความพร้อมที่สุดทั้งการลงทุนโดยรวม และยังยืนยันการจ่ายเงินปันผลได้ที่ 100% และล่าสุดนักวิเคราะห์ ASPS ได้ปรับเพิ่ม Fair Value ขึ้นจากเดิม 165 บาท เป็น 187 บาท ขณะที่ DTAC(FV@B40) ได้ประกาศลดการจ่ายเงินปันผลลงเหลือ 50% จากเดิมที่จ่ายได้เฉลี่ย 100% เนื่องจากต้องเตรียมความพร้อมในการลงทุน ซึ่งเราเห็นด้วยกับ DTAC พราะต้นทุนของผู้ถือหุ้น (ROE) เฉลี่ย 20% ปี 2558 แม้จะลดลงเหลือ 13% ในปีนี้ แต่ยังสูงกว่า เงินกู้ยืมเฉลี่ย 4% จึงยังชื่นชอบ ADVANC และ DTAC เชื่อเป็นผู้ที่ยังมีศักยภาพในการทำกำไรและจ่ายเงินปันผลได้ในระยะยาว

สภาพคล่องโลกเพิ่ม จากการใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำทั่วโลกดีต่อสินทรัพย์เสี่ยง
    ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว ทำให้ธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลกยังคงใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง โดยหลังธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ลดดอกเบี้ยกระแสรายวันที่ ธ.พ. มาฝากกับธนาคารกลางฯ (BOJ) ลงเป็นติดลบ 0.1% เป็นประวัติศาสตร์และยังมีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยฯเพิ่มเติมแล้ว ทางด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณทบทวนการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มเติม โดยติดตามการประชุม 10 มี.ค. ที่จะถึงนี้ ขณะที่อังกฤษ ส่งสัญญานจะปรับลดดอกเบี้ยลง จากเดิมที่มีแผนจะขึ้นดอกเบี้ยฯ ในปีที่ผ่านมา และ ธนาคารกลางสหรัฐหรือ FED แม้ล่าสุด อัตราการว่างงานปรับลดลงอยู่ที่ 4.9% (ต่ำสุดในรอบ 8 ปี) แต่ภาคการผลิตที่ส่งสัญญาณชะลอตัว (สะท้อนจากตัวเลขผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (ISM)เดือน ม.ค. ที่ 48.2 จุดต่ำกว่า 50 จุดติดต่อกันว่า 4 เดือน และเงินเฟ้อที่ยังต่ำ 0.7%) ทำให้โอกาสที่ Fed จะกลับมาใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มขึ้น หลังจากที่ขึ้นดอกเบี้ยในปลายปี 2558 สะท้อนจากล่าสุดผลสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์ของ Bloomberg พบว่าการประชุมในรอบหน้า15-16 มี.ค. มีความน่าจะเป็นที่จะคงดอกเบี้ยที่ระดับเดิม 100% และคาดว่าทั้งปีนี้อาจปรับขึ้นน้อยกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ 4 ครั้ง


     ความคาดหวังต่อการชะลอขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ กดดันให้ค่าเงินดอลลาร์ยังคงแกว่งตัวอ่อนค่าต่อเนื่อง (Dollar Index ล่าสุดที่ 96.57 จุด อ่อนค่า 2.1% ytd) ผนวกกับเม็ดเงินต่างชาติที่เริ่มไหลเข้า สะท้อนจากยอดซื้อตราสารหนี้ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาล นับตั้งแต่ต้นปี ต่างชาติเข้าซื้อพันธบัตรสุทธิราว 5.8 หมื่นล้านบาท หรือเข้าซื้อสุทธิเฉลี่ย 2,187 ล้านบาทต่อวัน หรือสุทธิสูงสุดที่ 1.35 หมื่นล้านบาท หนุนให้ค่าเงินบาทและค่าเงินในเอเชียเริ่มกลับมาแข็งค่า อาทิ บาท รูเปียะห์ ริงกิต ที่อ่อนค่าราว 1.34% , 1.39% , 3.26% ytdสร้าง Sentiment เชิงบวกให้กับ ตลาดหุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งน้ำมัน แม้ปัญหา Over supply ยังมีอยู่ และการเจรจาเพื่อหาข้อสรุปในการลดการผลิตในกลุ่ม OPEC ยังไม่มีข้อสรุปแต่สะท้อนว่าราคาน้ำมันผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ขณะที่ทองคำ ปรับตัวขึ้นกว่า 12.37% ytd (ล่าสุด 1,193.65 ดอลลาร์ต่อออนซ์) ระยะสั้นอาจจะติดแนวต้าน 1220 ดอลลาร์ต่ออนซ์

แรงขายในเดือน ก.พ. น้อยลงมากเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
     วานนี้แม้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่เกือบทั้งภูมิภาคหยุดทำการ เนื่องจากเป็นวันตรุษจีน แต่ตลาดหุ้นไทยยังคงเปิดทำการปกติ โดยต่างชาติคงซื้อสุทธิหุ้นไทย แม้จะเล็กน้อยราว 45 ล้านบาทก็ตาม (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3) ตรงข้ามกับนักลงทุนสถาบันฯที่ขายสุทธิราว 1,061 ล้านบาท
หากพิจารณาแรงซื้อขาย ของนักลงทุนต่างชาติ ตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ. จนถึงปัจจุบัน พบว่า แรงขายของต่างชาติในตลาดหุ้นภูมิภาคเริ่มลดน้อยลง และมีแรงซื้อสลับเข้ามาบ้างในบางวัน โดยมียอดซื้อสุทธิสะสมรวม 1,011 ล้านเหรียญ และหากพิจารณาเป็นรายประเทศ พบว่า ต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้น ไต้หวัน, อินโดนีเซีย, เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์ ราว 730 ล้านเหรียญ, 200 ล้านเหรียญ, 91 ล้านเหรียญ และ 11 ล้านเหรียญ ตามลำดับ ส่วนตลาดหุ้นไทย แม้จะยังถูกขายสุทธิสะสม แต่เป็นแรงขายที่น้อยลงมากเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยถูกขายสะสมสุทธิเล็กน้อยราว 21 ล้านเหรียญ ซึ่งน่าจะเป็นสัญญานบวกต่อตลาดหุ้น สะท้อนได้จากค่าเงินบาท และ เงินเอเชียมีทิศทางแข็งค่า ทั้งนี้ได้รับปัจจัยหนุนจากการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายของธนาคารกลางทั่วโลกหนุนเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในสินทรัพย์เสี่ยงทั้งหุ้น น้ำมันและทองคำ รวมถึงตราสารหนี้ เป็นต้น

ยังแนะนำสะสมหุ้นปันผลเด่น SC, PS และ MCS
      หุ้นที่มีประวัติการจ่ายปันผลที่ดี ราคาหุ้นมักจะเคลื่อนไหว หรือ ตอบสนองในด้านบวกก่อนล่วงหน้าประกาศจ่ายเงินปันผลเสมอ (เท่ากับได้ผลตอบแทน 2 ต่อคือ เงินปันผลจ่าย และ capital gain) โดยจากสถิติย้อนหลัง 5 ปี พบว่า ราคาหุ้นที่จ่ายปันผลปีละครั้ง มักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าหุ้นที่จ่ายปันผลปีละ 2 ครั้งเสมอ สังเกตได้จาก ถ้าซื้อหุ้นที่จ่ายปันผลปีละครั้งก่อนวันขึ้น XD ราว 2 เดือน และขายทำกำไรในวันขึ้น XD จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในอดีตสูงถึง 13.9% (ด้วยความน่าจะเป็นราว 79%) มากกว่า หุ้นที่จ่ายปันผลปีละ 2 ครั้ง ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 9.0% (ด้วยความน่าจะเป็นราว 77%) นอกจากนี้ยิ่งซื้อหุ้นในวันที่ใกล้วันขึ้นเครื่องหมาย XD ผลตอบแทนที่ได้จะมีแนวโน้มลดลงลดลงเรื่อยๆ (รายละเอียดตารางและภาพด้านล่าง)
กลยุทธ์การลงทุนในสถาการณ์ตลาดปัจจุบัน เลือกหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรสุทธิงวด 4Q58 ดี และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2559 พร้อมทั้งรับเงินปันผลสูง และ ผลตอบแทนของราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น อย่าง PS (FV@B38), SC (FV@B 4.56) และ MCS ([email protected])

นักวิเคราะห์: ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์: ภราดร เตียรณปราโมทย์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!