- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 08 February 2016 17:00
- Hits: 1682
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ยืนเหนือ SMA10 เลือกซื้อ/ถือต่อได้”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : SEAFCO (จาก Fully Value เป็นซื้อ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index วันศุกร์ปิด +9.18 จุดที่ 1306.29 โดยเป็นไปทิศทางเดียวกับภูมิภาค ปัจจัยหนุน คือ การเลือกซื้อเก็งกำไรผลประกอบการรายบริษัท และโอกาสที่เฟดจะไม่เร่งรีบปรับขึ้นดอกเบี้ยมีมากขึ้น นักลงทุนสถาบันในประเทศ ต่างชาติ และพอร์ตบล.ซื้อสุทธิส่วนรายย่อยเป็นกลุ่มเดียวที่ขายสุทธิ มุมมองต่อตัวเลขภาคแรงงานของเฟดค่อนข้าง Mixed โดยบางรายมองบวกจากอัตราการว่างงานสหรัฐลดลงต่อเนื่อง (ล่าสุดอยู่ที่ 4.9%) แต่บางรายก็เห็นว่าโครงสร้างและการฟื้นตัวชะลอลง โดยจำนวนจ้างงานม.ค.ต่ำกว่าคาด ประสิทธิภาพแรงงานใน 4Q15 ลดลงแต่อัตราค่าแรงงานสูงขึ้นสวนทางกันและบางรายประเมินว่าอัตราการว่างงานที่ลดเป็น 4.9% ทำให้โอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยมีมากขึ้น ยังผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐอ่อนตัวลงในคืนวันศุกร์รวมทั้งราคาน้ำมันดิบยังลดลงต่อจากความวิตกเรื่องอุปทานล้นเกินและประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ยังไม่มีการประชุมเพื่อหาทางออกก็เป็นปัจจัยกดดันด้วย สำหรับตลาดหุ้นเอเชีย ในต้นสัปดาห์หลายตลาดปิดทำการเนื่องในวันตรุษจีนจึงไม่ค่อยคึกคักนัก ส่วนปัจจัยภายในประเทศ เป็นการติดตามรายงานผลประกอบการปี 2015 & การจ่ายเงินปันผล จึงอยู่ในโหมดของการเลือกซื้อเป็นรายบริษัทเป็นหลัก สำหรับ BIGC ได้ข้อสรุปแล้วว่ากลุ่มคาสิโนขาย 58.56% ให้กับกลุ่ม TCC ที่ราคาหุ้นละ 252.88 บาท หลังดีลเสร็จก็จะทำเทนเดอร์ฯ คาดว่าเป็นราคาเดียวกันซึ่งสูงกว่าราคาปิด BIGC เมื่อวันศุกร์อยู่ 11.4% หุ้นพื้นฐานแนะนำเป็น SCC
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมเป็นบวกเล็กๆ (ปิดบวกและเหนือเส้น SMA10) แต่โครงการขาลงในระยะกลางยังกดดันให้มีการแกว่งถึงอ่อนตัวได้อีก แนวต้านระยะสั้นให้ไว้ที่ 1310, 1320,1340 จุด ค่าลบดูไม่ค่อยดี ดัชนีต่ำกว่า 1290 จุด ควรลดพอร์ตตาม หรือตัดขายขาดทุน (Stop loss)เพราะมีโอกาสอ่อนลงอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับ SET50 มีแนวต้านระยะสั้น 830-840, 850 และ Stop loss ถ้าต่ำกว่า 815 จุด
การ SCAN หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น เราพบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น KTB, MTLS, ASIMAR ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ TKN, HFT,TACC, BBL, SUPER, PTTGC หุ้นหลุด List เป็น DIF และหุ้นที่อยู่ในพื้นที่ขายทำกำไร – ไม่มี
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
• สหรัฐ : การจ้างงานนอกภาคเกษตรม.ค.2016 น้อยกว่าคาดแต่อัตราการว่างงานลดลง โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่ม 151,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. ลดลงจาก 262,000ตำแหน่งในเดือนธ.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะเพิ่ม 200,000ตำแหน่ง แต่อัตราการว่างงานลดลงเป็น 4.9% ต่ำสุดในรอบเกือบ 8 ปี โดยในเดือนม.ค.ภาคเอกชนจ้างงานเพิ่มขึ้น 158,000 ตำแหน่ง แต่ภาครัฐจ้างงานลดลง 7,000 ตำแหน่ง
- สหรัฐ : ขาดดุลการค้าธ.ค.2015 เพิ่มขึ้น 2.7% สู่ระดับ 4.336 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยส่งออก -0.3% แต่นำเข้า +0.3% ซึ่งการส่งออกของสหรัฐได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์และอุปสงค์ที่อ่อนแอในต่างประเทศ
- จีน : สำรองเงินตราต่างประเทศม.ค.16 ลดสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3ปี เป็น 3.23 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ลดลง 99.5 พันล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค.แต่ก็น้อยกว่าที่ Bloomberg ได้สำรวจไว้ว่าจะลดลง 120 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งการลดลงมาจากการขายดอลลาร์แล้วซื้อเงินหยวนเพื่อพยุงค่าเงินไม่ได้อ่อนลงเร็วและแรงเกินไปซึ่งจะนำไปสู่การไหลออกของเงินทุนBloomberg Intelligence ประเมินว่าในปี 2015 จีนมี Capital Outflowราว 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งสูงมาก สำหรับปี 2016 นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่ายังไม่เงินไหลออกอีก และค่าเงินหยวนจะอ่อนค่าลงต่อเป็น 6.76หยวน/ดอลลาร์สหรัฐ (ค่า Median ของผลสำรวจ Bloomberg) จากระดับปิดวันศุกร์ที่ 6.5755 หยวน/ดอลลาร์สหรัฐ
• จีน : อัดฉีดเม็ดเงินเสริมสภาพคล่องช่วงตรุษจีน ธนาคารกลางจีนประกาศอัดฉีดเม็ดเงินอีก 1.1 แสนล้านหยวนเข้าสู่ตลาดการเงินเมื่อ 6ก.พ.เพื่อป้องกันการตึงตัวของตลาดเงินในช่วงตรุษจีน การดำเนินการล่าสุดส่งผลให้ธนาคารกลางจีนอัดฉีดเงินเข้าสู่ตลาดจำนวนทั้งสิ้น 6.20แสนล้านหยวนในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่อัดฉีดเงิน 6.90 แสนล้านหยวนใน 2 สัปดาห์ก่อน
- ตลาดหุ้นสหรัฐร่วง : ดัชนี DJIA ปิดลบ 211.61 จุด หรือ -1.29% ปิดที่16,204.97 จุด โดยนักวิเคราะห์ตีความตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาในมุมที่แตกต่างกัน บางกลุ่มมองว่าการฟื้นตัวของภาคแรงงานชะลอตัวลง เมื่อพิจารณาจากตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนม.ค.ที่ออกมาน้อยกว่าคาด แต่บางรายเห็นว่าอัตราการว่างงานที่ลดลงต่ำกว่า 5% เป็น 4.9% ทำให้อัตราเงินเฟ้อมีโอกาสเพิ่มขึ้นและกระตุ้นให้เฟดพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหลายครั้งในปีนี้ นอกจากนั้นราคาน้ำมันดิบที่ยังอ่อนตัวต่อก็ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานลงด้วย
- ราคาน้ำมันดิบลดลง : สัญญาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT ส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดลดลง 0.83 และ 0.40 ดอลลาร์ ที่ 30.89 และ 34.06ดอลลาร์/บาร์เรล โดยความกังวลกับอุปทานล้นยังเป็นปัจจัยกดดันหลักทั้งนี้ระดับสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐได้เพิ่มขึ้นเหนือ 500 ล้านบาร์เรลแล้วใน 2สัปดาห์ก่อน โดยอยู่ที่ 502.7 ล้านบาร์เรล นับว่าสูงมาก ขณะที่ผู้ผลิตรายใหญ่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหันหน้าเจรจากันเพื่อหาช่องทางพยุงราคาน้ำมัน
• ราคาทองคำทรงตัว : สัญญาตลาด COMEX ปิดที่ 1,157.70 ดอลลาร์/ออนซ์ (+0.20 ดอลลาร์จากวันก่อนหน้า) โดยตลาดตีความตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรม.ค.ของสหรัฐค่อนข้าง Mixed ขณะเดียวกันตัวเลขหลายตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มชะลอตัวลง และราคาน้ำมันที่ตกต่ำก็กดดันเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะประเทศผู้ผลิตน้ำมันด้วย
• ปัจจัยที่ติดตามสัปดาห์นี้ ได้แก่ การแถลงนโยบายการเงินของเฟดต่อสภาคองเกรส, ยอดค้าปลีกและความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ, รายงาน GDPของยูโรโซน เป็นต้น
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
+ ธุรกิจโทรคมนาคม ค้าปลีก โรงแรมและร้านอาหาร ยังมีการลงทุนต่อเนื่อง ธปท.สำรวจความเห็นนักธุรกิจทั่วประเทศ 200 รายเดือนม.ค.16พบว่ากลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะยังมีการลงทุนต่อเนื่อง ได้แก่ ธุรกิจโทรคมนาคมที่มีการเร่งขยายโครงข่ายเพื่อรองรับการให้บริการ 4G ธุรกิจค้าปลีกมีการลงทุนเพื่อขยายสาขาต่อเนื่อง และบริการเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรมและร้านอาหาร ซึ่งยังมีการลงทุนทั้งในส่วนของการปรับปรุงอาคารและเปิดสาขาเพิ่มเพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการมีแนวโน้มจะเปิดโรงแรมระดับ 3-4 ดาวรองรับนักท่องเที่ยวจีนและเอเชียที่เข้ามามากขึ้น การลงทุนภาคเอกชนใน 4Q15 โดยภาพรวมปรับดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบ QoQ แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นการลงทุนในเครื่องจักรเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และทดแทนแรงงานที่มีแนวโน้มหายากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้อัตราการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมยังต่ำที่ประมาณ 60% เท่านั้น สำหรับหุ้นที่น่าสนใจลงทุน ได้แก่ กลุ่มที่เกี่ยวกับงานวางโครงข่ายและระบบไอที ซึ่งที่เราวิเคราะห์และแนะนำซื้อลงทุน คือSAMTEL, SAMART กลุ่มท่องเที่ยว หุ้นเด่นเป็น AOT, CENTEL, MINTส่วนกลุ่มค้าปลีกมองว่าการแข่งขันสูง มาร์จิ้นต่ำ ส่วนหุ้นเติบโต เช่น CPALLก็ยังรอความชัดเจนจากนักลงทุนสถาบันว่าจะปรับกลยุทธ์ลงทุนอย่างไร
• CPALL : บอร์ดให้กรรมการบริหารที่ถูกเปรียบเทียบปรับปฎิบัติงานต่อ ที่ประชุมบอร์ดบริษัทเมื่อ 5 ก.พ.2016 ได้พิจารณากรณีกรรมการบริหารถูกเปรียบเทียบปรับเรื่องอินไซด์เทรดดิ้งว่า บอร์ดมีมติจัดตั้งคณะกรรมการบรรษัทภิบาลและมีผู้เชี่ยวชาญภายนอกเป็นที่ปรึกษาเพื่อป้องไม่ให้เกิดเหตุเช่นนี้อีก แต่ยังให้กรรมการบริหารปฎิบัติงานต่อไปเพราะกระทำไปโดยขาดความเข้าใจในกฎเกณฑ์อย่างถ่องแท้ และยังมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ของก.ล.ต. ด้านสมาคมบ.ล.จ.จะมีการประชุมสมาชิกวันที่ 18 ก.พ.นี้เพื่อหารือเรื่องการลงทุนในหุ้น CPALL และหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มซีพี โดยสมาคมฯ ได้เชิญกบข.และประกันสังคมเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วย
• BIGC (ราคาปิด 227 บาท) : กลุ่ม TCC เข้าซื้อหุ้น BIGC 58.56%เพื่อต่อยอดธุรกิจ โดยเป็นการซื้อทั้งทางตรงและทางอ้อมจากกลุ่มคาสิโนราคาซื้อขายอยู่ที่ 252.88 บาท/หุ้น รวมมูลค่าดีล 1.22 แสนล้านบาท คาดธุรกรรมจะแล้วเสร็จภายใน 31 มี.ค.16 และหลังจากนั้นจะทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ ซึ่งคาดว่าจะเป็นราคาเดียวกัน...ทั้งนี้ราคาซื้อขายสูงกว่าราคาปิดวันศุกร์ 11.4% ในช่วง 9M15 BIGC มีสินทรัพย์ 9.48 หมื่นล้านบาท หนี้สิน5.02 หมื่นล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 4.46 หมื่นล้านบาท โดยมี BVSเท่ากับ 54.01 บาท/หุ้น ในงวด 9M15 บริษัทมีรายได้ 99.1 พันล้านบาทและมีกำไรสุทธิ 4.76 พันล้านบาท (EPS : 5.77 บาท/หุ้น) ราคาซื้อขายที่252.88 บาทคิดเป็น P/BV เท่ากับ 4.68 เท่า ใกล้เคียงกับกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีก และราคาซื้อขายคิดเป็น P/E 33 เท่า สูงกว่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 26 เท่า
+ SCC (ราคาปิด 426 บาท) : ผลกำไรปี 2016 แข็งแกร่งต่อ และจะจ่ายปันผลสำหรับ 1H15 8.50 บาท/หุ้น XD 4 เม.ย.16 เราชอบ SCC ที่ธุรกิจมั่นคงและกระจายความเสี่ยงดี โดยมีทั้งผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและวัสดุก่อสร้าง โดยมีตลาดทั้งในประเทศและภูมิภาค ซึ่งรายได้และกำไรจากอาเซียนจะทยอยเพิ่มขึ้นหลังบริษัทได้ลงทุนและเช้าซื้อกิจการไปก่อนหน้านี้และหลังจากนี้ยังมีแผนลงทุนและทำ M&A ในภูมิภาคนี้ต่อ คาดกำไรปี2016 จะเติบโตไม่มาก (+7%) จากฐานที่สูงในปีก่อน และขยายตัวต่อ 5-7%ในปี 2017 ซึ่งถือว่าแข็งแกร่งมาก แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 580 บาทคาดการณ์ Dividend Yield ราว 4% ต่อปี
นักกลยุทธ์ & วิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค –
[email protected]
Update อุตสาหกรรม & หุ้นในเชิงกลยุทธ์
# สินเชื่อซื้อหลักทรัพย์ Peak บ่งชี้ว่าเข้าสู่ Bear Market?
• จากการศึกษาของ APViewpoint และ CNBC พบว่าหลายรอบของการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐที่ดัชนีจะ Peak ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่การกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (เงินกู้มาร์จิ้น) อยู่ในสูงสุด โดยในเดือนมี.ค.2000 ดัชนี S&P 500 ขึ้นไปสูงสุดขณะที่สินเชื่อมาร์จิ้น Peak ที่ประมาณ 380 พันล้านดอลลาร์ ส่วนอีกรอบเป็นปี 2007 ที่สินเชื่อมาร์จิ้นขึ้นไปสูงสุดที่ราว 430 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนก.ค.2007 และดัชนีS&P500 ขึ้นไป Peak ในช่วงเวลาในกี่เดือนหลังจากนั้น แล้วก็มีวิกฤตซับไพร์มตามมา ส่วนรอบของปี 2015 สินเชื่อมาร์จิ้นขึ้นไป Peak ที่ 507พันล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเม.ย.2015 และดัชนี S&P500 ก็ขึ้นไปสูงสุดในเดือนพ.ค.2015...จากข้อมุลสถิติดังกล่าวเห็นได้ว่า Peak ของสินเชื่อมาร์จิ้นเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ถึงภาวะ Bearish Market ที่กำลังตามมา
• โดยในรอบปี 2000 และปี 2007 พบว่าดัชนี S&P 500 ดีดกลับเฉลี่ย4% ใน 3 เดือนหลังจากที่สินเชื่อมาร์จิ้นลดลงไป 10% จากระดับสูงสุดแต่ดัชนีกลับไปติดลบ 5%, 8% และ 19% ในช่วง 6, 9 และ 12 เดือน....การลดลงของสินเชื่อมาร์จิ้นอาจไม่สามารถบอกจุดตีกลับของตลาดหุ้นแต่สามารถส่งสัญญาณว่าตลาดกำลัง Peak หรือใกล้จะ Peak ได้ดีกว่า
# Turnover List Watch: EVER, TKN เข้าเกณฑ์ติด CashBalance 6 สัปดาห์ ต่ออายุ AMATAV, JWD
• วันศุกร์ตลาดฯประกาศให้ EVER และ TKN ติด CashBalance 6 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ.-18 มี.ค.59
• ด้านหลักทรัพย์ที่ต่ออายุการใช้ Cash Balance คือ AMATAVและ JWD ตั้งแต่วันที่ 8-26 ก.พ.59ส่วน SANKO ไม่ประกาศ จึงคาดว่าจะเริ่มมาใช้มาร์จินได้เป็นวันแรก
• ส่วนหลักทรัพยหมดอายุใช้ Cash Balance ระดับที่ 1 ศุกร์ 12ก.พ.58 คือ KOOL อาจมีการเก็งกำไรล่วงหน้า แต่ต้องระวังตลาดฯอาจกลับมาให้ใช้ Cash Balance ได้
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา [email protected]