- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 08 February 2016 16:35
- Hits: 841
บล. เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ตลาดให้น้ำหนักต่อการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ลดน้อยลง กดดัน Dollar Index อ่อนตัวต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะหนุนสินทรัพย์เสี่ยงทั้ง หุ้น น้ำมันและทองคำ โดยคาด SET จะมีแนวต้าน 1,314 จุด (แนวรับ 1,296 จุด) กลยุทธ์แนะนำหุ้นที่ EPS growth ดีต่อเนื่องงวด 4Q58 และปี 2559 มี P/E ต่ำ upside สูงเกิน 30% เลือก SEAFCO([email protected]) เป็น Top pick
Dollar Index อ่อนตัว ตราบที่ FED ขึ้นดอกเบี้ยฯ น้อยกว่าคาด
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสหรัฐ มีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจในฝั่งแรงงาน กล่าวคือ อัตราการว่างงานปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 8 ปีอยู่ที่ 4.9% (หลังจากคงที่ระดับ 5% ติดต่อกันกว่า 3 เดือน) เช่นเดียวกับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่เพิ่มขึ้น 1.51 แสนราย (แม้ว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้น แต่เป็นอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 2558) อย่างไรก็ตามตัวเลขทางฝั่งภาคการผลิตยังคงส่งสัญญาณชะลอตัว สะท้อนจากตัวเลขผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (ISM)เดือน ม.ค. ที่ 48.2 จุดต่ำกว่า 50 จุดติดต่อกันว่า 4 เดือน อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ระดับต่ำ (ล่าสุดที่ 0.7%) ผนวกกับเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะจีนที่ยังคงชะลอตัว ส่งผลทำให้ธนาคารกลางสหรัฐต้องเพิ่มความระมัดระวังการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจากผลสำรวจของ Bloomberg พบว่าความน่าจะเป็นที่จะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือน มี.ค. นี้ลดลงเหลือเพียง 10% (จากเดือนก่อนที่สำรวจอยู่ที่ 49%) ซึ่งทำให้โอกาสการขึ้นดอกเบี้ยฯ ของ FED ในช่วงที่เหลือนี้จะน้อยลงจากแผนเดิมที่กำหนดการขึ้นดอกเบี้ยไว้ 4 ครั้ง
ทั้งนี้ ความคาดหวังต่อการขึ้นดอกเบี้ยที่ลดลง กดดันให้เงินสกุลดอลลาร์ ยังคงแกว่งตัวในทิศทางอ่อนค่า กล่าวคืออ่อนค่าเกือบ 3% จากจุดสูงสุดที่ 100 (Dollar Index ล่าสุดที่ 97.045 จุด) ซึ่งน่าจะถือเป็นSentiment เชิงบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งตลาดหุ้น และ สินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ ทองคำ ซึ่งพบว่าราคาทองคำล่าสุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.9% ytd (ล่าสุดที่ 1,168.22 เหรียญฯต่อออนซ์)
ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในกลุ่ม TIP
วันศุกร์ที่ผ่านมา แม้ตลาดหุ้นไต้หวันจะหยุดทำการ แต่ตลาดหุ้นอื่นๆยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมแล้วพบว่า ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 192 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) แต่ยังขายสุทธิอยู่ประเทศเดียว คือ เกาหลีใต้ถูกขายสุทธิราว 9 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่ม TIP ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิ คือ อินโดนีเซียที่ถูกซื้อสุทธิสูงถึง 170 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิที่สูงที่สุดในรอบเกือบ 10 เดือนที่ผ่านมา (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ถูกขายสุทธิราว 4 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว) และไทยต่างชาติซื้อสุทธิราว 27 ล้านเหรียญ หรือ 961 ล้านบาท (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิราว 356 ล้านบาท
ส่วนทางด้านตราสารหนี้นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 3,376 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่สลับมาซื้อสุทธิราว 21,666 ล้านบาท
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
แนวโน้ม SET เดือน ก.พ. มีโอกาสขึ้นไปถึง 1,330 จุด
เชื่อว่า ณ SET Index ได้สะท้อนปัจจัยลบหลายประการ ทั้งราคาน้ำมันที่ตกต่ำ และ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตามปัจจัยหนุนตลาดฯ ยังมีโดยเฉพาะความสามารถในการทำกำไรรายหุ้น ซึ่งคาดว่า เข้าสู่ภาวะปกติในปี 2559 และ Valuation ของตลาดหุ้นไทยที่ถูกลงเมื่อเทียบกับประมาณการกำไรในปี 2559 ด้วยเหตุนี้ ทำให้ SET Index เชื่อว่าความเสี่ยงขาลงค่อนข้างจำกัด แต่อย่างไรก็ตามโอกาสที่จะเห็นการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วรุนแรงของ SET Index ยังเกิดขึ้นได้ยาก ตราบที่ยังไม่มี แรงหนุนจาก Fund Flow ที่มากพอ จึงคาดว่าน่าจะแกว่งตัวในกรอบ 1285 – 1330 จุด สำหรับช่วงเวลาที่เหลือของเดือน กุมภาพันธ์ กลยุทธ์การลงทุนในช่วงเวลานี้จะให้ความสำคัญกับหุ้น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่คาดว่ากำไรจะเติบโตสูง และ กลุ่มที่คาดว่า Dividend Yield สูง
1. หุ้นที่คาดว่ากำไรจะเติบโตสูง เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยขับดันให้ราคาหุ้นสามารถสร้างผลตอบแทนที่ชนะตลาด (Outperform) ได้ในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ได้คัดกรองหุ้นที่คาดหมายว่าจะมีผลกำไรโดดเด่นในงวด 4Q58 โดยใช้เกณฑ์ในการคัดกรองไว้ 3 ชั้นคือ
1) กำไรสุทธิงวด 4Q58 เติบโตทั้ง YoYและ QoQ
2) มีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องในปี 2559 ไม่น้อยกว่า 25%
3) นักวิเคราะห์ ASPS แนะนำ ซื้อ และมี Upside ไม่น้อยกว่า 30% เมื่อเทียบกับ Fair Value ณ สิ้นปี 2559
ผลจากการคัดกรองล้วนอยู่ในกลุ่มที่เกี่ยวข้อง Consumer Finance ได้แก่ TK, MTLS, SAWAD รองลงมาได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คือ TTCL และ SEAFCO เลือก SEAFCO ([email protected]), TTCL ([email protected]) และ SAWAD (FV@B65) เป็นหุ้นกลุ่มผลประกอบการเติบโตโดเด่น
2. หุ้นที่คาดว่า Dividend Yield สูง จากสถิติพบว่า ราคาหุ้นปันผลสูงมักจะตอบสนองในเชิงบวก โดยเฉพาะหุ้นจ่ายปันผลปีละ 1 นักลงทุนต้องถือหุ้นราว 2 เดือนก่อนขึ้น XD ก็จะได้รับเงินปันผลเทียบเท่าถือหุ้นทั้งปี ทำให้หุ้นดังกล่าวมักได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นพิเศษ ฝ่ายวิจัยกำหนดเกณฑ์ในการคัดกรองไว้ 3 ชั้นเช่นกัน คือ
1) Div.Yield 2558 และ 2559 สูงกว่า 5%
2) จ่ายเงินปันผลปีละ 1 ครั้ง
3) นักวิเคราะห์ ASPS แนะนำ ซื้อ และมี Upside ไม่น้อยกว่า 15% เมื่อเทียบกับ Fair Value ณ สิ้นปี 2559
ผลจากการคัดกรองได้หุ้นที่ผ่านเกณฑ์ คือ STPI, SC, TISCO, ASK, SIRI และ TMT เลือก STPI ([email protected]), SC ([email protected]) และ TISCO (FV@B50) เป็นหุ้นเด่นกลุ่มที่ให้ Dividend Yield สูง (ติดตามอ่านกลยุทธ์การลงทุน เมื่อศุกร์ที่ 5 ก.พ.)
การรายงานงบ 4Q58 ของภาคการผลิตยังมีอิทธิต่อราคาหุ้นรายตัว
การรายงานงบยังทยอยประกาศออกมาอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์นี้ โดยนักวิเคราะห์ ASPS ได้ทยอยรายงาน Earning Preview ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดังนี้
BJCHI ([email protected]) คาดกำไร 4Q58 จะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังงานก่อสร้าง TUPI เข้าสู่ช่วงรับรู้รายได้เต็มที่ บวกกับโครงการ QGI กลับมาก่อสร้างอีกครั้ง ทั้งยังได้รับค่าเปลี่ยนแปลงงาน เข้ามาอีก คาดงวด 4Q58 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 55% yoy ขณะที่ปี 2559 คาดรายได้โต 15% จาก Backlog กว่า 3.7 พันล้าน จึงแนะนำซื้อ
STPI ([email protected]) คาดการณ์กำไรสุทธิงวด 4Q58 ลดลง 5%qoq และ 32%yoy จาก gross margin ที่ลดลง และผลขาดทุนจาก FX แต่คาดว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นในปี 2559 และ ในปีนี้ ยังมีลุ้นได้งานประมูลอีกหลายโครงการที่ทยอยประกาศผล หลังจากเพิ่งเซ็นสัญญางานเพิ่มเติมโครงการ Ichthys มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท ส่วนกลางปี 2559 มีงานใหญ่คือ Pacific Northwest และยังมีลุ้นงานก่อสร้างสนามกีฬาโอลิมปิกที่ญี่ปุ่นอีกด้วย ขณะที่ราคาหุ้นยังมี upside สูงมาก ซื้อขายกันบน PER ที่ต่ำมากเพียง 6.8 เท่า
SVI ([email protected]) คาดการณ์กำไรสุทธิงวด 4Q58 เพิ่มขึ้นถึง 233%qoq (แต่ลดลง 138.5%yoy) จากการบันทึกเงินชดเชยประกันฯ เหตุเพลิงไหม้ แต่หากพิจารณาเฉพาะผลการดำเนินงานปกติ คาดกำไรอ่อนตัวเนื่องจากเป็นช่วง low season แต่งวด 1Q59 คาด พลิกกลับมาเติบโตถึง 41%qoq และ ตลอดปี 2559 จะเติบโตสูงถึง 40%yoy จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นและการจัดทำงบการเงินรวมกับ กิจการที่ซื้อมา รวมถึงการขยายโรงงานที่กัมพูชา จึงเชื่อว่าราคาหุ้นน่าจะสามารถ outperform ได้อย่างต่อเนื่อง
TTCL ([email protected]) คาดการณ์กำไรสุทธิงวด 4Q58 เพิ่มขึ้นถึง 723%yoy และ 43%qoq จากการรับรู้รายได้งานก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง และรับรู้รายได้ธุรกิจโรงไฟฟ้าเข้ามาอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ คาดว่าปี 2559 กำไรเติบโตกว่า 45%yoy หนุนด้วยยอด backlog ปัจจุบันที่คิดเป็นกว่า 75% ของรายได้ทั้งปี นอกจากนี้ งานก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีในเวียดนาม คาดว่าน่าจะทราบผลภายใน 2Q59 จึงเชื่อนับจากนี้ไปกำไรจะเข้าสู่การเติบโตอีกครั้ง โดยราคาหุ้นทีปรับลดลงแรง ทำให้ upside เปิดกว้างมากขึ้น
JMT ([email protected]) คาดกำไร 4Q58 เติบโต 14.3% qoq (หดตัว 43.3% yoy) เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยรับจากธุรกิจในสินเชื่อ ขณะที่ธุรกิจบริหารหนี้ยังเติบโตแต่ไม่มาก ส่วนรายได้จากธุรกิจติดตามหนี้ค่อนข้างทรงตัว อย่างไรก็ตามคาดผลการดำเนินงานงวด 1Q59 ยังเห็นการเติบโต จากงวด 4Q58 โดยธุรกิจบริหารหนี้เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ยังคงแนะนำซื้อ
BR (FV@B9) มีกำไรในระดับที่น่าพอใจ งวด 4Q58 กำไรเพิ่มขึ้น 15.5% qoq เนื่องจากเข้าช่วง high season ของการส่งออกเป็ด แต่ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2559 ราว 12.6% yoy จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และการส่งออกเนื้อเป็ดสู่ญี่ปุ่นและยุโรปมากขึ้น ผนวกกับเข้าสู่เทศกาลตรุษจีน หนุนกำไร 1Q59 เติบโต จึงยังคงแนะนำซื้อ
SINGER([email protected]) คาดกำไร 4Q58 ฟื้นตัว 196.9% qoq และ 26.2% yoy จากฐานที่ต่ำในงวด 3Q58 แต่อย่างไรก็ตามได้ ลดกำไรสุทธิปี 2559-60 ลงเฉลี่ยปีละ 21.0% เนื่องจากเดิมประเมินสูงเกินไป ไป แต่อย่างไรก็ตามยังเห็นการเติบโตของยอดขาย ผ่าน การปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ โดยจะเห็นผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวในงวด 1Q59 ฟื้นตัว จึงแนะนำซื้อ
TTW ([email protected]) คาดการณ์กำไรสุทธิงวด 4Q58 ทรงตัว qoq แต่หดตัว 19%yoy จากการหมดสิทธิพิเศษทางภาษี อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานปกติยังทรงตัวได้ ขณะที่ปี 2559 คาดกำไรจะอ่อนตัวลง 6%yoy จากภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น โดยการดำเนินงานปกติคาดจะได้รับผลกระทบจากอัตราจำหน่ายน้ำประปาที่ลดลง นอกจากนี้ปัญหาภัยแล้งที่มีความรุนแรงและมาเร็วกว่าทุกปี ยังเป็นปัจจัย กดดันต่อการขาดแคลนแหล่งน้ำที่สำคัญ จึงแนะนำ switch ไปยัง EASTW ([email protected]) ที่มีแหล่งน้ำที่มั่นคงกว่า
SAPPE (FV@B20) แนวโน้มกำไร 4Q58 ยังคงลดลง 44% qoq เนื่องจากกโรงงานใหม่คลอง 13 ยังอยู่ในช่วงเริ่มการผลิต ทำให้ยังไม่เกิดประสิทธิภาพ แต่คาดงวด 1Q59 ฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำในปีก่อนและกลับมาเติบโตได้ จากปัจจัยหนุนจากต้นทุนการผลิตที่ลดลง จากการเพิ่มขึ้นของประสิทธิภาพการของโรงงานใหม่ จึงยังคงแนะนำซื้อ
THRE ([email protected]) คาดกำไรสุทธิงวด 4Q58 หดตัวถึง 26.3%qoq (แต่พลิกจากขาดทุนในงวด 4Q57) จากกำไรของการรับประกันภัยต่อที่หดตัวต่อเนื่อง และสัดส่วน combine ratio ที่เพิ่มขึ้น ส่วนงวด 1Q59 คาดมีแนวโน้มฟื้นตัว จากการลดลงของค่าใช้จ่ายในช่วงฤดูกาล และเบี้ยประกันภัยสุทธิที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้คาดว่าแรงขับเคลื่อนหลักของธุรกิจจะมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ life และ non-life สะท้อนการปรับกลยุทธ์สู่ผลิตภัณฑ์ที่มี margin สูง แต่เพราะม upside จำกัด จึงแนะนำให้ switch ไป BKI (FV@B435) แทน
BLA ([email protected]) คาดมีผลขาดทุนสุทธิงวด 4Q58 ถึง 1.25 พันล้านบาท โดยคาดสัดส่วนค่าใช้จ่ายสำรองเบี้ยเทียบกับเบี้ยประกัย ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาที่ 90.5% ผลกระทบจากการตั้งสำรองเบี้ยเป็นมูลค่าถึง 4.9 พันล้านบาท จาก Bond yield curve ระยะ 10 ปี ที่ลดลง แม้ยังคงประมาณการผลการดำเนินงานปี 2559-60 แต่มีความเป็นไปได้ที่จะทบทวนปรับลงอีก จึงแนะนำขาย
หุ้นที่แนะนำใน Market talk