- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 05 February 2016 17:01
- Hits: 839
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
คาด SET ยังติดแนวต้าน 1,300 จุด เชื่อว่าตลาดหุ้นโลกน่าจะได้แรงหนุนจากสภาพคล่องโลกที่เพิ่มขึ้นจากการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายทั่วโลก ขณะที่เข้าสู่ช่วงจ่ายเงินปันผล ยังแนะนำให้สะสมหุ้นปันผลเด่น P/E ต่ำ โดยยังเลือก PS(FV@B38) เป็น Top pick และในเทศกาลตรุษจีนแนะนำลงทุนระยะสั้น CPF(FV@B28), BR(FV@B9)
Dollar Index ยังอ่อนค่า หนุนสินทรัพย์เสี่ยงฟื้นตัวต่อเนื่อง
ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้ธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลกยังคงนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง โดยที่ ประชุมธนาคารกลางอังกฤษ วานนี้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% แม้ตลาดแรงงานยังมีแนวโน้มฟื้นต่อเนื่อง สะท้อนจากอัตราการว่างงานที่ลดลงเหลือ 5.1% (เทียบกับยอดสูงสุด 8.5% ใน พ.ย. 2554) แต่ยังคงกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จึงได้ปรับลด GDP Growth ของอังกฤษลดลง 0.3% เหลือ 2.2% ในปี 2559 และมีแนวโน้มที่อาจจะปรับลดดอกเบี้ยลงได้ในปีนี้ แม้ก่อนหน้าได้เคยส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ยฯ ก็ตาม
เช่นเดียวกับญี่ปุ่น หลังจากที่ลดดอกเบี้ยกระแสรายวันที่ ธ.พ. มาฝากกับ ธนาคารกลางฯ ลงเป็นติดลบ 0.1% ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ยังคงส่งสัญญาณว่าจะใช้แนวทางการลดดอกเบี้ยฯ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป โดยยังคงการใช้เม็ดเงินซื้อคืนพันธบัตร (QE) ไว้ที่ปีละ 80 ล้านล้านเยน เช่นเดิม
เช่นเดียวกับสหรัฐ หลังการประชุมของ FED เมื่อ 25-26 ม.ค. ที่ผ่านมา ได้ส่งสัญญาณชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวมากขึ้น และอาจจกลับมาดันภาคการผลิต สะท้อนจากภาคการผลิตของสหรัฐยังชะลอตัว กล่าวคือ ยอดคำสั่งซื้อสินค้าของโรงงานในเดือน ธ.ค.ที่ปรับตัวลดลง 2.1% yoy (เดือนก่อนหน้าที่ -0.2% yoy) ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลทำให้ Dollar Index ปรับตัวอ่อนค่าราว 4% (จากจุดสูงสุดเดือน มี.ค 2558 ที่ 100.33 จุด) สวนทางกับเงินยูโรที่กลับปรับตัวแข็งค่าราว 7.6%
โดยรวมการที่ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงใช้นโยบายผ่อนกคลายต่อเนื่อง คาดทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าในตลาดทุน และสินค้าโภคภัณฑ์ ล่าสุดพบว่าราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มแกว่งตัวขึ้น โดยล่าสุดราคาน้ำมันดูไบสามารถยืนเหนือ 30 เหรียญฯต่อบาร์เรล โดยอยู่ที่ 31.52 เหรียญฯต่อบาร์เรล หรือ เพิ่มขึ้น 40% จากจุดต่ำสุด 22.49 ที่เหรียญฯ ต่อบาร์เรล เมื่อ 21 ม.ค. และ เช่นเดียวกับราคาทองคำคาดว่า ยังมีแนวโน้มกระเตื้องขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดราคาทองคำอยู่ที่ 1,155 เหรียญฯ ต่อ ออนซ์ แต่เนื่องจากราคาทองคำปรับขึ้นมากว่า 8.8% จุดต่ำสุด 1,061.42 เหรียญฯ ต่อออนซ์
ดัชนีความเชื่อมั่นลดลงคาดว่าเป็นเหตุการณ์ชั่วคราว
วานนี้ ม.หอการค้าไทย เผยล่าสุดดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ม.ค. 2559 ลดลงมาที่ระดับ 75.5 (ลดลงครั้งแรกหลังจากฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นเวลา 4 เดือนติดต่อกัน) ทั้งนี้น่าจะเกิดจากความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และในประเทศยังเผชิญปัญหาภัยแล้ง แต่อย่างไรก็ตามในเดือน ก.พ. เข้าสู่ช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งผลการสำรวจการใช้จ่ายประชาชน โดยมหาลัยหอการค้า พบว่าจะมีการใช้จ่ายในช่วง 6-8 ก.พ. ราว 5.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งนับว่าเป็นมูลค่าสูงสุดในประวัติการณ์ ซึ่งน่าจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมกระเตื้องขึ้นในระยะสั้น ๆ
อย่างไรก็ตาม ASPS ยังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2559 จะขยายตัวได้ที่ 3.8% เนื่องจากมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐหลายรูปแบบที่เริ่มดำเนิน ตั้งแต่ปลายปี 2558 – ปัจจุบัน ตั้งแต่การกระตุ้นระดับรากหญ้า ผ่านการอัดฉีดเงินกองทุนหมู่บ้านๆ ละ 5 แสนบาท(เฟส 2) วงเงินรวม 3.5 หมื่นล้านบาทและโครงการอัดเงินตำบลๆ ละ 5 ล้านบาท วงเงินรวม 3.62 หมื่นล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ(Soft loan) เฟส2 วงเงินรวม 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งใกล้จะเต็มวงเงินแล้ว(หลังจากเฟสแรก วงเงิน 1 แสนล้านบาทได้ผลตอบรับเชิงบวกเป็นอย่างมาก) และมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ผ่านการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% ซึ่งสิ้นสุดโครงการ เม.ย. 59 ล่าสุดได้ผลตอบรับเชิงบวก สะท้อนจากในช่วง พ.ย.-ธ.ค. 58 มียอดโอนกรรมสิทธิ์แล้ว 50,300 ยูนิต ขยายตัว 45%yoy นอกจากนี้ยังให้ผู้ที่ซื้อบ้านในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท สามารถนำเงินค่าซื้อราว 20% มาลดหย่อนภาษีได้ภายใน 5 ปี (เฉลี่ยไม่เกินปีละ 1.2 แสนบาท)
นอกจากนี้ ปัจจัยขับเคลื่อนอีกด้านหนึ่ง มาจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2559-2560 รวมราว 15 โครงการ มูลค่าราว 8-9 แสนล้านบาท (ซึ่งในจำนวนนี้ได้รวมโครงการ PPP Fast Track 5 โครงการ มูลค่า 3.34 แสนล้านบาท เช่น รถไฟฟ้า 3เส้นทาง (คือ สีชมพู สีเหลือง สีน้ำเงิน)และทางหลวงพิเศษ 2 เส้นทาง)
หุ้นเด่นในเทศกาลตรุษจีน แนะนำ CPF, BR
สัปดาห์นี้เข้าสู่เทศกาลตรุษจีน จึงคาดว่าความต้องการใช้ไก่ หมู และ เป็ด เพื่อทำพิธีทางศาสนาน่าจะเพิ่มสูงกว่าภาวะปกติ ซึ่งน่าจะทำให้ราคาเนื้อสัตว์เหล่านี้กระเตื้องขึ้น และน่าจะผลกระทบด้านบวกต่อผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น ทั้งนี้ จากการศึกษาของนักวิเคราะห์เชิงปริมาณพบว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาหลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554 ไป ผู้คนหันมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นที่เกี่ยวข้อง อาทิ CPF, GFPT ปรับเพิ่มขึ้นในช่วง 1-3 วันก่อนตรุษจีน เฉลี่ยเกือบ 1% ด้วยความน่าจะเป็นกว่า 70%
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานของธุรกิจเหล่านี้พบว่า ธุรกิจไก่ยังคงเกินความต้องการ ทั้งนี้หลังจากสหฟาร์ม ซึ่งเป็นผู้ผลิตไก่รายใหญ่ของประเทศประสบปัญหาการเงิน ได้หยุดการผลิตไประยะหนึ่งได้กลับมาผลิตไก่ออกสู่ตลาดผลิตไก่อีกครั้งเมื่อกลางปี 2558 ทำให้ปริมาณไก่ออกสู่ตลาดโดยรวมเพิ่มขึ้นจากเฉลี่ย 28 ล้านตัวต่อสัปดาห์ 31 ล้านตัวต่อสัปดาห์ และทรงตัวในระดับนี้จนถึงปัจจุบัน ทำให้ราคาไก่หน้าฟาร์มยังคงอยู่ที่ 36 บาทต่อ ก.ก. ใกล้เคียงกับต้นทุนการผลิต ซึ่งเชื่อว่าทำให้ผู้ประกอบการที่เน้นผลิตไก่อย่างเดียว เช่น TFG(ขาย: [email protected]) ประสบภาวะขาดทุน และเช่นเดียวกับ GFPT(Switch : [email protected]) คาดว่าผลประกอบการจะทรงตัว จากราคาไก่อยู่ใกล้เคียงกับต้นทุน ขณะที่ราคาหุ้นมี Expected P/E 14 เท่า และเงินปันผลต่ำมากเพียง 2.1%จึงไม่น่าดึงดูดเท่าใดนัก
ขณะที่ BR(ซื้อ : FV@B9) เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเป็ดรายใหญ่ 1 ใน 2 ของประเทศ (อีกรายคือ CPF ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดเท่ากัน) ราคาเป็ดล่าสุดอยู่ที่ กก. ละ 60 บาท ซึ่งยังสูงกว่าต้นทุนเฉลี่ย 50 บาท ต่อ กก. ในปี 2559 นักวิเคราะห์ ASPS จึงประเมินว่า BR ยังคงมีกำไรในระดับที่น่าพอใจโดยมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิราว 10% ในปี 2559 เทียบกับปี 2558 ที่เติบโต 13% ขณะที่ราคาหุ้นมี Expected P/E 10 มีเงินปันผล 4.9% จึงแนะนำซื้อ
และ CPF(ซื้อ : FV@B28) ซึ่งถือเป็นผู้ผลิต จำหน่ายในประเทศ และส่งออก ผลิตภัณฑ์อาหารที่ครบวงจร ทั้งหมู ไก่ เป็ด รวมถึงกระจายการลงทุนธุรกิจเกษตรที่ครบวงจรไปยังต่างประเทศ ทั้งจีน เวียดนาม ตุรกี และรัสเซีย เป็นต้น จึงมีฐานรายได้กระจายตัวที่ดีทั้งในด้านตลาด และ ผลิตภัณฑ์ ดังนั้นในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอ และราคาผลิตภัณฑ์ในประเทศ ที่ผันผวนยังทำให้ CPF มีแนวโน้มเติบโตในเกณฑ์ปานกลาง โดยในปี 2559 นักวิเคราะห์ ASPS ประเมินว่า CPF จะกำไรสุทธิเติบโตราว 8% และ ด้วยการจ่ายเงินปันผลที่ 4.12% ทำให้ CPF น่าจะสนใจมากที่สุด ส่วน BR น่าสนใจรองลงมา
ต่างชาติสลับมาซื้อหุ้นในภูมิภาค รวมถึงตลาดหุ้นไทย
วานนี้ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 132 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว) แต่เป็นการขายสุทธิอยู่ 2 ประเทศ คือ ไต้หวันถูกขายสุทธิราว 54 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) และฟิลิปปินส์ถูกขายสุทธิเล็กน้อยราว 1 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) ส่วนที่เหลืออีก 3 ประเทศต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิ คือ เกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 137 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิต่อเนื่อง 2 วัน) ตามมาด้วยอินโดนีเซียที่ถูกซื้อสุทธิราว 26 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิต่อเนื่อง 2 วัน) และไทยต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิราว 23 ล้านเหรียญ หรือ 858 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 3 วัน) เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิราว 1,131 ล้านบาท
ส่วนทางด้านตราสารหนี้นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 7,632 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่สลับมาซื้อสุทธิราว 7,260 ล้านบาท ทั้งแรงซื้อหุ้นและตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มกลับมา ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น โดยล่าสุดอยู่ที่ 35.60 บาท/ดอลลาร์
ยังแนะนำสะสมหุ้นปันผลเด่น SC และ PS
ในสถานการณ์ตลาดผันผวน และ การประกาศงบการเงินงวดปี 2558 ใกล้สิ้นสุด ก็จะเข้าสู่ช่วงเทศกาลของการประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปี ครึ่งปี หรือ ไตรมาส (ส่วนใหญ่จะกระจุกตัวในช่วงปลายเดือน มี.ค. – เม.ย. 2558) ซึ่งเป็นเหตุผลประการสำคัญทำให้หุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงได้รับการตอบรับทางด้านบวก ซึ่งจากการศึกษาของนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ โดยใช้ข้อมูล ย้อนหลัง 5 ปี หุ้นที่มีประวัติการจ่ายปันผลที่ดี ราคาหุ้นมักจะเคลื่อนไหว หรือ ตอบสนองในด้านบวกก่อนล่วงหน้าประกาศจ่ายเงินปันผลเสมอ (เท่ากับได้ผลตอบแทน 2 ต่อคือ เงินปันผลจ่าย และ capital gain) แต่อย่างไรก็ตามผลตอบแทนจะมีแนวโน้มลดลง เมื่อใกล้วันขึ้นเครื่องหมาย XD รายละเอียดตารางและภาพด้านล่าง
โดยสรุปกลยุทธ์การลงทุนในสถาการณ์ตลาดปัจจุบัน แนะนำให้มีหุ้นปันผลสูงติดพอร์ตไว้บ้าง โดยเฉพาะนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างสภาพคล่องในบางช่วงเวลา หรือ ในช่วงเกษียณ โดยแนะนำซื้อหุ้น ก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XD ราว 2 เดือน และขายทำกำไรในวันขึ้นเครื่องหมาย XD ซึ่งผลตอบแทนเฉลี่ยในอดีตสูงถึง 10.57% ด้วยความน่าจะเป็นราว 79% อย่างเช่น SC (FV@B 4.56), PS (FV@B38) และ MCS ([email protected]) และเลือกเป็น Top picks ในกลุ่มเงินปันผล
นักวิเคราะห์ : ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์ : ภราดร เตียรณปราโมทย์