- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 03 February 2016 19:34
- Hits: 1402
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ซื้อ/ถือต่อเมื่อ SET ไม่หลุด 1280'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยวานนี้ร่วงอีก 12.04 จุด ปิดที่ 1285.30 โดยแรงขายหลักอยู่ในกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี (ราคาน้ำมันดิบดิ่งอีกรอบ หลังกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันยังไม่ประชุมฉุกเฉินเพื่อปรับลดปริมาณการผลิต) และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (กังวลสินทรัพย์ด้อยค่า)แต่กลุ่มอาหาร เช่น CPF, TU และสื่อสารบางตัว คือ DTAC ปรับขึ้นดี (สอดคล้องกับคำแนะนำของ DBS Group Research) แต่ด้วย Market Cap ที่ไม่ใหญ่จึงไม่สามารถชดเชยได้ นักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างชาติขายสุทธิ พอร์ตบล.และรายย่อยซื้อสุทธิในระยะสั้นมากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลง (WTI ต่ำกว่า 30 ดอลลาร์/บาร์เรลอีกครั้ง) ผนวกกับความเสี่ยงในการผิดนักชำระหนี้ของบริษัท E&P ที่เพิ่มขึ้นมาก กดดันหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี นอกเหนือจากความกังวลกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งเห็นได้ทั้งจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ, ยูโรโซนและจีน โดยราคาหุ้นไทยและ SET Index อ่อนตัวลงและกำลังจะทดสอบแนวฟิวเตอร์ที่ 1280 จุดว่าจะหลุดหรือไม่ (ซึ่งมีโอกาส) หากหลุดก็จะลงไปยังพื้นที่แนวรับ 1250+/- หรือ 1200 จุดต้นอีกรอบ ปัจจัยที่จะช่วยพยุงหรือกระตุ้นตลาดได้บ้าง คือ การเก็งกำไรผลประกอบการ+ปันผลปี 2015 และแนวโน้มปี 2016 (ซึ่งก็จะเป็นรายบริษัทไป) และความหวังว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม (แต่ก็จะเป็นปัจจัยหนุนในช่วงที่ออกมาตรการ แต่อาจเป็นปัจจัยลบในระยะต่อไปถ้าผลดีของมาตรการเกิดขึ้นช้าหรือนอ้ ยเกินไป) เรียกได้ว่าตลาดหุ้นปีนี้จะผันผวนมาก การลงทุนจึงต้องใช้ความระมัดระวังสูง (เล่นสั้น-ต้องเร็วและหวัง Gap ไม่มาก, ลงทุนยาว-แบ่งเงินและจับจังหวะซื้อสะสมเป็น Step) หุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อเล่นรอบในจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัวเป็น TASCO
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมเป็นลบเล็กๆ (ปิดลบ แต่ยังเหนือเส้น SMA10) ให้แนวต้านระยะสั้นที่ 1290-1300, 1310 จุด ค่าลบดูไม่ค่อยดี ดัชนีต่ำกว่า 1280 จุด ควรลดพอร์ตตาม หรือตัดขายขาดทุน (Stop loss) เพราะมีโอกาสอ่อนลงอย่างมีนัยสำคัญ
การ SCAN หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น เราพบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น DIF, TU, CBG, HFT ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ SMT, CKP, TKN,VGI, WICE หุ้นที่อยู่ในพื้นที่ขายทำกำไรได้แก่ SPA และหุ้นที่หลุด List เป็น TCAP
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ จีน : ทางการจีนผ่อนคลายมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ โดยกำลังพิจารณาลดหย่อนเงินดาวน์สำหรับการซื้อที่พักอาศัยในบางเมือง ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 25% โดยจะให้ลดลงไม่เกิน 5% เป็นไม่น้อยกว่า 20%โดยเมืองที่คาดว่าจะได้รับการผ่อนปรน คือ เซียงไฮ้, กวางเจา, เซินเจ้น,ปักกิ่ง แต่การซื้อบ้านหลังที่สองยังต้องมีสัดส่วนเงินดาวน์ไม่น้อยกว่า 30%
- สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ปรับลดเครดิตและแนวโน้มความน่าเชื่อถือบริษัทน้ำมันหลายแห่ง เช่น ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของบริษัทรอยัลดัทช์เชลล์ ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของโลกลงสู่ระดับ A+ จาก (AA-) พร้อมกับเตือนว่าอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงอีก และปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของบริษัทพลังงานรายอื่นๆของยุโรปลงสู่ระดับเชิงลบ (Negative Outlook) ซึ่งรวมถึงบริษัทบีพี , โททาล เอสเอ, สแตทออยล์ เอเอสเอ, เรพซอล เอสเอ และ Eni SpA
• สหรัฐ : จับตาตัวเลขภาคแรงงานที่จะรายงานในสัปดาห์นี้ โดยวันพุธ - ตัวเลขจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐประจำเดือนม.ค.ของ ADP,พฤหัส-ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ และวันศุกร์-ข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนม.ค.ซึ่งตัวเลขภาคแรงงานจะมีผลต่อกระแสคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดและค่าเงินดอลลาร์
•/- บริษัท E&P มีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น ข้อมูลจากบริษัทกฎหมาย Hayes and Boone ระบุว่าปี 2016 จะเป็นปีที่ย่ำแย่อีกปีของอุตสาหกรรมพลังงาน โดยปีก่อนมีบริษัทสำรวจและขุดเจาะน้ำมัน(E&P) ของอเมริกาเหนือ 42 แห่งที่ล้มละลายไปแล้ว ซึ่งเหตุการณ์นี้คล้ายกับที่เกิดขึ้นในปี 1986 ที่มีบริษัท E&P ล้มไปถึง 27% ของที่มีอยู่ ข้อมูลจาก Fitch Rating ระบุว่าการผิดนัดชำระหนี้ในเดือนธ.ค. 2015 พุ่งขึ้นเป็น11% จากเพียง 0.5% ในปี 2014 แต่หลายคนมองว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นยังมีความเสี่ยงยังรออยู่ข้างหน้าอีก บางคนมองว่าระดับการผิดนัดชำระหนี้อาจเพิ่มขึ้นเป็น 20-25% ในปี 2016 ซึ่งเป็นลบต่อสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้& ออกตราสารหนี้ รวมถึงผู้ถือบอนด์และตราสารของบริษัท E&P ที่มีปัญหาอย่างแน่นอน
- ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงแรง ดัชนี DJIA ดิ่ง 295.64 จุด ปัจจัยกดดัน คือราคาน้ำมันดิบที่ลดลงกว่า 5% เพราะผู้ผลิตรายใหญ่ยังไม่มีแนวโน้มที่จะตกลงกันได้ในเรื่องการปรับลดกำลังการผลิต ทำให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกยังสูงมาก รวมทั้งผลประกอบการบริษัทพลังงานย่ำแย่ลงมาก(เอ็กซอน โมบิล รายงานกำไร 4Q15 ต่ำสุดในรอบกว่า 10 ปี ด้านบีพี ก็ขาดทุนหนักเป็นประวัติการณ์ในปี 2015) รวมทั้งโอกาสผิดนัดชำระหนี้มีมากขึ้นด้วย
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ต่ำกว่า 30 ดอลลาร์อีกรอบ โดยสัญญา WTIและ BRENT ส่งมอบมี.ค.2016 ปิดลดลง 1.74 และ 1.52 ดอลลาร์ มาอยู่ที่29.88 และ 32.72 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยอุปทานสูงยังเป็นปัจจัยกดดันหลักล่าสุดกระทรวงพลังงานรัสเซียรายงานว่าเดือนม.ค.2016 รัสเซียผลิตน้ำมันดิบเพิ่ม 1.5% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 10.88 ล้านบาร์เรล/วัน ด้าน API รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐสิ้นสุด 29 ม.ค.เพิ่มขึ้นอีก 3.8ล้านบาร์เรล ส่วนรายงานสต็อกน้ำมันของ EIA จะออกมาคืนนี้ ซึ่งตลาดประเมินว่าจะเพิ่มขึ้นราว 5-6 ล้านบาร์เรล
• ราคาทองคำทรงตัว สัญญาตลาด COMEX ส่งมอบมี.ค.อ่อนลงเล็กน้อย0.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,127.20 ดอลลาร์/ออนซ์ นักลงทุนรอดูตัวเลขภาคแรงงานสหรัฐ ส่วนค่าเงินดอลลาร์ทรงๆ หลังจากอ่อนค่าลงในช่วง 2 วันก่อนล่าสุด Dollar Cash Index อยู่ที่ 98.81
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
+ การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2016 (4 เดือนแรก) ไปได้ด้วยดี โดยในช่วงเดือนต.ค.-ม.ค.2016 เบิกจ่ายไปแล้ว 1.048 ล้านล้านบาท คิดเป็น38.55% ของงบประมาณ โดยรายจ่ายประจำเบิกจ่าย 44.15% และรายจ่ายลงทุนเบิกจ่าย 16.2%
• TRUE : มีกระแสข่าวว่าบริษัทจะชะลอการจ่ายค่าใบอนุญาต 4Gงวดแรก 8,040 ล้านบาทไว้ก่อน เพราะต้องการดูเงื่อนไขในการประมูลรอบใหม่ถ้า JAS คืนใบอนุญาต ทั้งนี้ค่าใบอนุญาต 4G ย่าน 900 MHz ที่กว่า 7 หมื่นล้านบาท/ใบ โดยมีอายุสัมปทาน 10 ปี ถือว่าแพงมากทาง DBSV ประเมินว่า ROI ของ JAS ที่ต้นทุนใบอนุญาต 7.5 หมื่นล้านบาทนั้นต่ำเพียง 2.3% ซึ่งไม่จูงใจให้พันธมิตรทางธุรกิจเข้ามาร่วมทำธุรกิจด้วย
- ทีวีดิจิตอล : กสทช.จะให้ BBL จ่ายค่าใบอนุญาตทีวีดิจิตอล 1.6พันล้านบาท ที่ธนาคารเป็นผู้ออกหนังสือค้ำประกันทางการเงิน (แบงค์การันตี) ให้ แต่ผู้ประกอบการ 2 ช่อง คือ ไทยทีวีและโลก้า ยังไม่จ่ายค่างวดที่ 2(เส้นตาย 3 ก.พ.) เพราะจะเลิกประกอบกิจการ...นับเป็น Sentiment ลบกับหุ้น BBL โดยมูลค่าความเสียหาย (ถ้าต้องจ่ายจริง) จากกรณีนี้ที่ 1.6พันล้านบาทเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับพอร์ตสินเชื่อ, สินทรัพย์ และส่วนอของผู้ถือหุ้นของธนาคาร ณ สิ้นธ.ค.2015 ที่ 1.87 ล้านล้านบาท, 2.84ล้านล้านบาท และ 3.62 แสนล้านบาท (0.4%) ตามลำดับ และเมื่อเทียบกับคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2016F (ที่ DBSV ทำไว้ 3.4 หมื่นล้านบาท) จะอยู่ที่4.7% (ราคาหุ้น BBL เมื่อวานนี้ลดลง 1.3% จึงมีโอกาสอ่อนลงได้อีกในระยะสั้น)
ด้าน KBANK ออกมากล่าวว่าลูกค้า 4 รายในธุรกิจทีวีดิจิตอลที่ธนาคารออกแบงค์การันตีให้ไม่มีปัญหาเรื่องการจ่ายค่าใบอนุญาต
• TU (ราคาปิด 19.00 บาท) : การซื้อหุ้น 51% ในบริษัทอาหารทะเลกระป๋องเยอรมนีเรียบร้อยแล้ว โดยเป็นการเข้าซื้อหุ้นบริษัท RugenFisch AG ประเทศเยอรมนี ซึ่งดำเนินธุรกิจอาหารทะเลกระป๋อง โดยเป็นเจ้าของแบรนด์ Rugen Fisch, Hawesta, Ostsee Fisch, Lysell เป็นต้น ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดดังกล่าว ผลิตภัณฑ์หลัก คือ ปลาเฮอริ่ง ปลาแมคคอเรล และปลาแซลมอน ทั้งสดและแช่เย็น ตลาดคือ ผู้ค้าปลีกทั่วประเทศเยอรมนีบริษัทมีรายได้กว่า 140 ล้านยูโร/ปี โดยกว่า 50% เป็นสินค้าแบรนด์ และส่วนที่เหลือเป็นสินค้า OEM มีส่วนแบ่งการตลาด 37% และมี EBITDA Margin อยู่ในช่วง 9-12%
TU คาดว่าจะทำงบการเงินรวมกับ Rugen Fisch ตั้งแต่ก.พ.2016 เป็นต้นไป ส่วนมูลค่าที่เข้าซื้อจะแจ้งอีกครั้งภายในเดือนก.พ. (แต่บริษัทได้ให้Guidance ว่าราคาซื้อขายมี EV/EBITDA ประมาณ 6.5 เท่า) และบริษัทยังมี Option ที่จะซื้อหุ้นส่วนที่เหลืออีก 49% ในอีก 3-5 ปีข้างหน้าด้วยฝ่ายวิจัยฯ DBSV คาดว่าการทำงบการเงินรวมกับ Rugen Fisch จะช่วยให้คาดการณ์กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอีก 3% เป็นเติบโต 17% แนะนำซื้อราคาเป้าหมายทางพื้นฐานปรับขึ้นเป็น 22.30 บาท (เดิม 21.60 บาท)
นักกลยุทธ์ & วิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค –[email protected]
Update อุตสาหกรรม & หุ้นในเชิงกลยุทธ์
# TASCO (ราคาปิด 31.25 บาท) : ราคาหุ้นร่วงแรงและเร็ว
• ราคาหุ้นร่วงแรง หลังฝ่ายวิจัยฯ DBSV ได้ปรับลดคำแนะนำจากซื้อเป็นถือ ราคาหุ้นได้ร่วงลงมา 19% ใน 4 วันทำการที่ผ่านมาขณะที่ราคาเป้าหมายตามพื้นฐานที่ 40 บาทของเราเริ้มมี Upsideที่ดีเมื่อเทียบกับราคาปิดเมื่อวานนี้ (คือ ประมาณ 28%)นอกจากนั้นในด้าน Valuation ก็น่าจูงใจมากขึ้น โดยซื้อขายที่ P/Eปี 2016 เท่ากับ 10.3 เท่า และ EV/EBITDA อยู่ที่ 8.5 เท่า
• DBSV คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิ 4Q15 อาจไม่ได้ทำสถิติสูงสุดใหม่แต่ก็จะยังแข็งแกร่งที่ 1.1 พันล้านบาท ซึ่งเพิ่มก้าวกระโดด115% y-o-y แต่ลดลง 23% q-o-q สืบเนื่องจากปริมาณขายยางมะตอยที่น้อยลง เช่นเดียวกับราคาขาย ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นยังแข็งแกร่งที่ 17% ผลพวงจากต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำตามราคาน้ำมัน
• แนวโน้มยังไปได้ดี งวด 1Q59 คาดว่าอุปสงค์ยางมะตอยในประเทศมีความแข็งแกร่งตามงบประมาณสร้างถนน 15 พันล้านบาท แต่จะถูกชดเชยด้วยยอดขายในต่างประเทศที่จะอ่อนลงเพราะจีนมีวันหยุดมาก และเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่วนทั้งปี 2016คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิจะยังอยู่ในระดับสูง โดยประมาณการไว้ที่4.73 พันล้านบาท (EPS : 3.04 บาท/หุ้น) ทั้งนี้แม้ว่ากำไรจะลดลง6% จากปี 2015 ที่มีกำไรสูงเป็นพิเศษ แต่ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากจากปี2014 ที่มีกำไรสุทธิ 1.2 พันล้านบาท
• ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำซื้อเก็งกำไร (เล่นรอบ) โดยประเมินกรอบล่าง-บนของราคาหุ้น TASCO ไว้ที่ 30 และ 40 บาทตามลำดับ ซึ่งอยู่บนระดับ P/E ปี 2016 ที่ประมาณ 10 – 13 เท่า
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค –
[email protected]
# Turnover List Watch: TKN มีโอกาสเข้าเกณฑ์แล้ว หากราคายืนมากกว่า 9.75 บาท
• TKN มีโอกาสเข้าเกณฑ์ติด Cash Balance 6 สัปดาห์แล้ว แต่ราคาปิดวันพฤหัสต้องยืนมากกว่าหรือเท่ากับ 9.75 บาท
• ด้านหลักทรัพย์ที่ต่ออายุใช้ Cash Balance 3 สัปดาห์ ระดับที่1 คือ SPORT ตั้งแต่ 3-23 ก.พ.59
• ส่วนหลักทรัพยหมดอายุใช้ Cash Balance ระดับที่ 1 วันศุกร์ที่ 5 ก.พ.58 อาจมีการเก็งกำไรล่วงหน้า แต่ต้องระวังตลาดฯอาจกลับมาให้ใช้ Cash Balance ได้ เป็นระดับที่ 1 คือAMATAV, JWD และ SANKO
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา [email protected]