- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 03 February 2016 19:14
- Hits: 674
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
การปรับฐานยังมีอยู่ ตราบที่ยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ ๆ จึงยังแนะให้ Switch จากหุ้นสื่อสารที่เผชิญกับการเพิ่มทุนทั้ง TRUE และ JAS รวมถึง ADVANC มี upside จำกัด มายัง DTAC(FV@B40) มี upside สูงสุด และยังชอบหุ้นปันผลเด่น SC([email protected]) เลือกเป็น Top picks
ยุโรปและอังกฤษมีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มเติม
วานนี้มีการรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของภูมิภาคยุโรป โดยในส่วนของตลาดแรงงานนั้นส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากอัตราการว่างงานเดือน ธ.ค. 58 ลดลงมาที่ระดับ 10.4% (ลดลงติดต่อกัน 9 เดือน และเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี) แต่อย่างไรก็ตามยุโรปยังประสบปัญหาเงินเฟ้อที่ขยายตัวต่ำเพียง 0.4% (ห่างจากเป้าหมาย 2% เป็นอย่างมาก) ทำให้ประธาน ECB มาริโอ ดรากี ส่งสัญญาณทบทวนการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มเติม ในการประชุมรอบถัดไปวันที่ 10 มี.ค นี้ ซึ่งอาจจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง หรือขยายวงเงิน QE ต่อเดือนเพิ่มขึ้น ขณะที่อังกฤษ ภาคการผลิตชะลอตัวลงต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ภาคการก่อสร้าง เดือน ม.ค.59 ลดลงอยู่ที่ระดับ 55 (หดตัวติดต่อกัน 5 เดือน) และเงินเฟ้อที่ต่ำเพียง 0.2% ทำให้มีกระแสที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะหันกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายด้วยลดอัตราดอกเบี้ยลงเช่นกัน สวนทางกับที่เคยคาดการณ์ไว้ว่ามีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในปลายปีนี้ (ปัจจุบันยืนดอกเบี้ยที่ 0.5% ตั้งแต่ มิ.ย.52) เป็นการตอกย้ำถึงสหรัฐ ซึ่งเป็นประเทศเดียวที่ใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด โดยการขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 0.5% เมื่อปลายปี 2558 ที่ผ่านมา (เป็นการขึ้นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี) ว่าอาจเป็นการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด ซึ่งนักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ในสหรัฐ เริ่มวิพากษ์วิจารณ์การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ และคาดว่าอาจจะปรับขึ้นได้ไม่ถึง 4 ครั้งในปีนี้ตามที่วางไว้ ในส่วนของไทย ภาวะเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เดือน ม.ค.59 ติดลบ 0.53% yoy (ยังติดลบติดต่อกัน 13 เดือน) คาดว่าการประชุม กนง. ในวันนี้ 3 ก.พ. จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ตามเดิมจนถึงปลายปี 2559
แรงซื้อของต่างชาติเริ่มลดน้อยลง
แม้วานนี้ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาค แต่เป็นการซื้อสุทธิที่ลดน้อยลง โดยมียอดซื้อสุทธิรวม 71 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 5) และเป็นการซื้อสุทธิอยู่ 2 ประเทศ คือ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 139 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4) และฟิลิปปินส์ถูกซื้อสุทธิเล็กน้อยราว 2 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 7) ส่วนที่เหลืออีก 3 ประเทศต่างชาติสลับมาขายสุทธิ คือ เกาหลีใต้ถูกขายสุทธิราว 37 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิต่อเนื่อง 3 วัน) ตามมาด้วยอินโดนีเซียที่ถูกขายสุทธิราว 15 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิต่อเนื่อง 4 วัน) และไทยต่างชาติขายสุทธิราว 18 ล้านเหรียญ หรือ 632 ล้านบาท (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิสูงถึง 1,934 ล้านบาท
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ที่นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 35,696 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงซื้อสุทธิราว 3,926 ล้านบาท (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 7 โดยมียอดซื้อสุทธิรวม 50,160 ล้านบาท)
สถิติอดีตพบว่า SET เดือน ก.พ. ให้ผลตอบแทนเป็นบวกด้วยโอกาสที่สูง
คาดว่าเดือน ก.พ. SET Index มีโอกาสแกว่งตัวเชิงบวก ทั้งนี้พิจารณาข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี (2549-2558) พบว่า SET Index ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.35% ด้วยความน่าจะเป็นราว 70% (มีโอกาสเกิด 7 ใน 10 ปี) ทั้งนี้ หากพิจารณาเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรม จะพบว่า กลุ่มฯ ที่สามารถให้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากกว่าตลาดอย่างมีนัยฯ พร้อมทั้งมีความน่าจะเป็นในระดับสูงเกินกว่า 80% ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจการเงิน, โรงพยาบาล, ธนาคารพาณิชย์, ค้าปลีก และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีรายละเอียดดังภาพด้านล่าง
ขณะที่หุ้นรายบริษัทในแต่ละกลุ่มฯ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยและความน่าจะเป็นได้ในระดับสูงของกลุ่ม มีรายละเอียดดังตารางด้านล่าง พร้อมกับปัจจัยพื้นฐานรายหุ้นที่มีความโดดเด่นดังนี้
SC ([email protected]): คาด 4Q58 จะมีกำไร 628 ล้านบาท สูงเป็นประวัติการณ์ และอาจสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากยอดโอนฯ โครงการ Centric Sea ที่สูง และกำไรจากการประเมินค่าสินทรัพย์ บวกกับคาดการณ์จ่ายเงินปันผลปีละ 1 ครั้ง ณ ระดับราคาหุ้นปัจจุบันสูงถึง 6%
ASK ([email protected]): เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของสินเชื่อรถบรรทุก หนุนจากการก่อสร้างโครงการภาครัฐ และเพื่อการขนส่งไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งแนวโน้มการเก็บหนี้ยังคงเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยมี NPL ทรงตัวในระดับต่ำใกล้เคียงกับ ไตรมาสก่อนหน้า อีกทั้งเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทั้ง Dividend Yield ที่สูงถึง 7% ต่อปี
THANI ([email protected]): มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านแผนการลงทุนของภาครัฐ ที่เริ่มเกิดขึ้นและการค้าชายแดนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง หนุนให้สินเชื่อรถบรรทุกเติบโต ผนวกกับ spread ปี 2559 ที่ยังคงเป็นขาขึ้น โดยคาดกำไรสุทธิงวด 4Q58 เติบโต 18.9% yoy ด้วย Valuation ที่ PER เพียง 10 เท่า และให้ Dividend Yield สูงกว่า 6% (จ่ายปันผลปีละครั้ง)
BDMS ([email protected]): ร.พ. ใหม่อีก 10 แห่งจาก 14 แห่งจะค่อยๆพลิกมีกำไรปีละ 2-3 แห่ง และการปรับปรุง ร.พ. เดิม 8 แห่ง เป็น International Hub หนุนกำไรเติบโตคาดปี 2559 โต 11.4% yoy และทิศทางประสิทธิภาพการทำกำไรทยอยฟื้นตัวขึ้นเป็นลำดับ แม้ว่า ณ ราคาปัจจุบันจะมี Upside จำกัด จึงแนะนำซื้อสะสมเมื่อราคาอ่อนตัวลง
TCAP ([email protected]): คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2558 เติบโตถึง 20.5% yoy และเชื่อว่าสัญญาณบวกของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ช่วงปลายปี จะช่วงเพิ่มความมั่นใจการเติบโตสุทธิจะเริ่มเป็นบวกได้ใน 2H59 พร้อมกับการปรับกลยุทธ์ธุรกิจด้วยการปรับส่วนผสมของสินเชื่อ การบริหารต้นทุน ผลักดันรายได้ค่าธรรมเนียมฯ และบริหารคุณภาพสินทรัพย์ จึงแนะนำซื้อเป็น Top pick ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์
ROBINS (FV@B55): ได้แรงหนุนจากมาตรการลดหย่อยภาษี สำหรับการใช้จ่ายช่วงปลายปี ส่งผลทางตรงต่อหุ้น แม้ระยะสั้นทิศทางกำไรยังทยอยฟื้นตัวช้าๆ แต่คาดกำไรงวด 4Q58 จะเป็นจุดสูงสุดของปี ที่อัตราการเติบโตใกล้เคียงช่วงที่ผ่านมาราว 10% yoy และจะเติบโตต่อเนื่องอีก 16% ในปี 2559 ซึ่งราคาหุ้น ณ ปัจจุบันถือว่าปรับฐานลงมามากแล้วจึงคงคำแนะนำซื้อ
HMPRO ([email protected]): คาดกำไรจะทยอยๆฟื้นตัว ทำจุดสูงสุดในงวด 4Q58 แตะระดับ 1 พันล้านบาท ซึ่งทำให้กำไรรวมทั้งปี 2558 เพิ่มขึ้นราว 3% และเชื่อว่าผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ทั้งยังได้ประโยชน์จากมาตรการลดหย่อนภาษีการใช้จ่ายช่วงปลายปี บวกกับ Valuation ที่ PER 20.6 เท่า upside 22.06%
KCE (FV@B100): ผลการดำเนินงานงวด 4Q58 ดีเกินคาด ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รายไตรมาส โดยเติบโตถึง 13.6% qoq และ 12.3% yoy ทั้งที่เป็นช่วง Low Season สาเหตุหลักจาก ประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้น หลังย้ายกำลังผลิตมาที่โรงงานลาดกระบังใหม่เฟส 2 ซึ่งดำเนินงานการผลิตด้วยเครื่องจักรใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม แต่อย่างไรก็ตามเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าอาจจะรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
แนะนำให้สะสมหุ้นปันผลสูงก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD เด่นคือ SC/PS
ในสถานการณ์ตลาดผันผวน และ การประกาศงบการเงินงวดปี 2558 ใกล้สิ้นสุด ก็จะเข้าสู่ช่วงเทศกาลของการประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปี ครึ่งปี หรือ ไตรมาส (ส่วนใหญ่จะกระจุกตัวในช่วงปลายเดือน มี.ค. - เม.ย. 2558) ซึ่งเป็นเหตุผลประการสำคัญทำให้หุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงได้รับการตอบรับทางด้านบวก ซึ่งจากการศึกษาของนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ โดยใช้ข้อมูล ย้อนหลัง 5 ปี หุ้นที่มีประวัติการจ่ายปันผลที่ดี ราคาหุ้นมักจะเคลื่อนไหว หรือ ตอบสนองในด้านบวกก่อนล่วงหน้าประกาศจ่ายเงินปันผลเสมอ (เท่ากับได้ผลตอบแทน 2 ต่อคือ เงินปันผลจ่าย และ capital gain) แต่อย่างไรก็ตามผลตอบแทนจะมีแนวโน้มลดลง เมื่อใกล้วันขึ้นเครื่องหมาย XD รายละเอียดตารางและภาพด้านล่าง
โดยสรุปกลยุทธ์การลงทุนในสถาการณ์ตลาดปัจจุบัน แนะนำให้มีหุ้นปันผลสูงติดพอร์ตไว้บ้าง โดยเฉพาะนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างสภาพคล่องในบางช่วงเวลา หรือ ในช่วงเกษียณ โดยแนะนำซื้อหุ้น ก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XD ราว 2 เดือน และขายทำกำไรในวันขึ้นเครื่องหมาย XD ซึ่งผลตอบแทนเฉลี่ยในอดีตสูงถึง 10.57% ด้วยความน่าจะเป็นราว 79% อย่างเช่น SC (FV@B 4.56), PS (FV@B38) และ MCS ([email protected]) และเลือกเป็น Top picks ในกลุ่มเงินปันผล
นักวิเคราะห์ : ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์: ภราดร เตียรณปราโมทย์