- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 28 January 2016 15:49
- Hits: 10276
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"แกว่งไม่หลุด 1260...เลือกซื้อ/ถือต่อได้"
Stock Picks-Jan 2016 : Fundamental : ANAN, AOT, BTSGIF, CPN, GL และ Dark Horse เป็น CK
Fundamental Pick -Today: TU (ดู Theme ลงทุนด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, DTAC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, QTC, SNC, TCAP, TMT, BTSGIF, DIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : THAI 29%, UV 19%, SIRI & TRUE 13%, BJC 11%
Technical View ภาพตลาดเป็นบวก
Support Resistance Stop Loss
SET 1220,1200 290,1300 หุลด 1260
SET50 750-740 810-820,830 หลุด 785
Technical Picks- Today : BBL, TPIPL, TOP, TCAP, AAV, TU, GENCO, COM7
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : TASCO (จากซื้อเป็น ถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : วานนี้ SET Index ปิด +10.22 จุด ที่1278.29 แต่การที่ปิดต่ำกว่า 1280 ทำให้ภาพบวกไม่มากนัก โดยต้องมาลุ้นกันต่อว่าในวันนี้จะกลับขึ้นไปยืนเหนือระดับดังกล่าวนี้ได้หรือไม่ หุ้นที่หนุนตลาดบวกเมื่อวานนี้คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์, พลังงาน และสื่อสารบางตัว ทั้งนี้นักลงทุนยังรอฟังถ้อยแถลงของเฟดเพื่อจับสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยในระยะต่อไป เมื่อวานนี้สถาบันในประเทศนำซื้อสุทธิ 1.7 พันล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 400 กว่าล้านบาท ส่วนพอร์ตบล.และรายย่อยขายสุทธิ
ผลประชุมเฟดออกมาตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยเฟดคง Fed Fund Rate ไว้ที่ 0.5% แต่ก็ไม่ตัดโอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบหน้า15-16 มี.ค.2016 ส่วนปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นสหรัฐ คือ ความกังวลของเฟดกับการชะลอตัวของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะจีนและยุโรป ความผันผวนในตลาดเงิน และการลดลงของราคาน้ำมัน รวมทั้งบริษัทใหญ่หลายแห่งปรับลดคาดการณ์รายได้ในปี 2016 ซึ่งรวมถึง Apple Inc ที่คาดว่าจะเห็นการอ่อนลงของรายได้ใน 1Q16 ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 13 ปี สำหรับปัจจัยในประเทศ ช่วงนี้เป็นรายงานผลประกอบการปี 2015 และการวิเคราะห์แนวโน้มปี 2016 ซึ่งธุรกิจส่วนใหญ่ยังเน้นการประคองตัว
กลยุทธ์ : เลือกเก็งกำไร/ลงทุนเป็นรายตัว ห้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น TU
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมดูเป็นบวก (ปิดบวกเหนือเส้น SMA10) แต่ก็ยังต้องระวังการแกว่งตัวจากแรงขายทำกำไรระยะสั้น แนวต้านระยะสั้น 1290-1300 จุด ค่าลบดูไม่ดี ดัชนีต่ำกว่า 1260 จุด ควรลดพอร์ตตาม หรือตัดขายขาดทุน (Stop loss) เพราะมีโอกาสลงไปที่แนวรับ 1220, 1200 จุด
ส่วนการ SCAN หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น เราพบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น BA, TOP, TCAP, PTG, TU ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ ASEFA, JTS, KKP, GLOBAL, J, SPA หุ้นที่อยู่ในพื้นที่ขายทำกำไร คือ QTC, SYNEX
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
สหรัฐ : เฟดคงดอกเบี้ย แต่ไม่ได้ตัดโอกาสที่จะปรับขึ้นในเดือนมี.ค.2016...เป็นไปตามคาด คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้อยู่ในช่วง 0.25-0.50% พร้อมกันนี้ เฟดไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในเดือนมี.ค.2016
+ สหรัฐ : ยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้น 10.8% ในเดือนธ.ค.2015 สู่ระดับ 544,000 ยูนิต ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 502,000 ยูนิตในเดือนธ.ค.2015 นับว่าภาคที่อยู่อาศัยสหรัฐยังเติบโตแข็งแกร่ง แต่ในอีกมุมหนึ่งเฟดก็อาจจะต้องกำกับภาคส่วนนี้ไม่ให้เข้าใกล้ความเสี่ยงเรื่องฟองสบู่
- ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงแรง...และปิดต่ำกว่า 16,000 จุด ดัชนี DJIA ปิดที่ 15,944.46 จุด (-222.77 จุด หรือ -1.38%) ตอบรับความกังวลของเฟดกับความผันผวนในตลาดเงินและการชะลอตัวของเศรษฐกิจต่างประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ ปัจจัยที่เฟดจับตาใกล้ชิด คือ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินการเงิน, การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและยุโรป และการร่วงลงของราคาน้ำมัน
- ยอดขายของ Apple ใน 1Q16 จะลดลงเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 13 ปี หุ้นแอปเปิลร่วงลง 6.55% หลังจากบริษัทแถลงคาดการณ์ว่ารายได้ใน 1Q16 จะปรับตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2003 เนื่องจากความต้องการ iPhone เข้าสู่ภาวะอิ่มตัว และดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าทำให้สินค้าของแอปเปิลมีราคาแพงขึ้นด้วย
+ ราคาน้ำมันขยับขึ้นต่อ โดยสัญญา WTI และ BRENT ส่งมอบเดือนมี.ค.2016 ปิด +0.85 และ +1.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 32.33 และ 33.10 ดอลลาร์/บาร์เรล ตามลำดับ ปัจจัยหนุน คือ ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐรอบสัปดาห์ (สิ้นสุด 22 ม.ค.) ลดลง 1.4 หมื่นบาร์เรลเป็น 9.22 ล้านบาร์เรล/วัน และข่าวว่าบริษัทท่อส่งน้ำมันของรัฐบาลรัสเซีย (ทรานส์เนฟท์) เตรียมเจรจากับกลุ่มโอเปกหรือกับซาอุดิอาระเบียเป็นทวิภาคีเรื่องการปรับลดการผลิตน้ำมัน สำหรับสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์ก่อนนั้นเพิ่มขึ้น 8.4 ล้านบาร์เรลเป็น 494.9 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
- ราคาทองคำอ่อนลง สัญญาตลาด COMEX ปิด -4.4 ดอลลาร์ที่ 1,115.8 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยนักลงทุนรอผลประชุมเฟด
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
+ กลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม สายการบิน : ความกังวลโรคเมอร์สผ่อนคลายลง เมื่อวานนี้ (27 ม.ค.) อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่าผู้ป่วยโรคเมอร์สรายที่ 2 ในไทยอาการดีขึ้น ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 40 คน สบายดีและผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อโรคเมอร์ส หุ้นเด่น AOT, CENTEL, MINT
กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : สินเชื่อบ้านช่วง 4Q15-1Q16 เติบโต แต่ยอดปฎิเสธสินเชื่อก็เพิ่มขึ้นด้วย โดยการเติบโตมาจากมาตรการกระตุ้นที่รัฐบาลออกมาเมื่อเดือนต.ค.2015 และจะหมดอายุในเดือนเม.ย.ปีนี้ ยังผลให้มีการซื้อและโอนที่พักอาศัยกันมากเพื่อรับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีและลดหย่อนค่าธรรมเนียม แต่การที่หนี้สินภาคครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจซบเซาต่อเนื่อง ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำทำให้ยอดปฎิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้น ทาง KBANK กล่าวว่าสำหรับลูกค้าบ้าน สัดส่วนยอดอนุมัติ : ปฏิเสธ เพิ่มเป็น 50:50 จากปลายปี 2015 ที่ 55:45 ส่วนลูกค้ารายใหญ่ปัจจุบันอยู่ที่ 75:25 จากปลายปีก่อน 80:20 ทั้งนี้คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้สัดส่วนจะทรงตัวใกล้กับช่วง 1Q16
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : ความยากลำบากของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปี 2016 คือ เรื่องการบริหารความเสี่ยง โดยธนาคารมีเป้าหมายที่จะเติบโตให้มากขึ้นจากปีก่อนแต่ก็ต้องระวังการปล่อยสินเชื่อใหม่ไม่ให้มีความเสี่ยงสูงมาก และต้องดูแลลูกค้าที่มีอยู่ไม่ให้กลายเป็น NPL ในด้านรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยก็ต้องขยายตัวด้วยการให้บริการการเงินในหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่มีจุดเด่นเรื่องฐานธุรกิจและลูกค้าที่มากและกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่าธนาคารเล็ก แต่ก็มีความเสี่ยงเรื่องการเพิ่มขึ้นของ NPL & ต้องตั้งสำรองค่าเผื่อฯสูงต่อในปี 2016 ขณะที่ธนาคารขนาดเล็ก มีจุดดีที่ NPL ในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงในพอร์ตสินเชื่อของธนาคารค่อนข้างนิ่งแล้วและกำลังจะสิ้นสุดระยะเวลาโครงการรถยนต์คันแรก แต่การฟื้นตัวก็ยังไม่เร็วโดยอาจจะเห็นในปี 2017 มากกว่าปีนี้ โดยรวมคาดว่าผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปี 2016 จะยังไม่น่าตื่นเต้น (+6% ในปี 2016 จาก -10% ในปี 2015) แล้วค่อยไปเห็นการเติบโตที่ดีขึ้นในปี 2017 ให้น้ำหนักการลงทุนเท่ากับตลาด (Neutral Weight) หุ้น Top Pick ของฝ่ายวิจัยฯ DBSV คือ KBANK รองลงมาเป็น TCAP
+ SCC (ราคาปิด 432 บาท) : โรงงานปูนซีเมนต์ในเมียนมาร์เริ่มผลิตกลางปี 2016 และในลาวเริ่มผลิตกลางปี 2017 ซึ่งจะช่วยหนุนให้ SCC มีกำลังการผลิตในภูมิภาคเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจยังมีความกดดันจากการแข่งขันด้านราคาเพราะอยู่ในภาวะอุปทานล้นเกิน (Oversupply) ทำให้ราคาขายจะปรับขึ้นยาก แต่ในด้านปริมาณขายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปี 2016 โดยอุปสงค์ในประเทศไทยคาดว่าจะเติบโต 3-5% จาก 0% ในปี 2015 สำหรับผลประกอบการธุรกิจปิโตรเคมีคาดว่าจะแข็งแกร่งในปีนี้ (กำไรของธุรกิจในปี 2015 เพิ่มก้าวกระโดดและเป็นฐานสูง) เราคาดว่ากำไรสุทธิปี 2016 ของ SCC จะเพิ่มขึ้นที่ +7.6% สูงกว่าใน IAA Consensus ที่ +4% จุดเด่นของ SCC คือ มีการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจที่ดีทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ (มีทั้งวัสดุก่อสร้างและปิโตรเคมี) และด้านฐานการผลิต & ลูกค้า (มีการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชีย) ด้าน Valuation ก็ไม่ได้แพง โดยซื้อขายที่ P/E ปี 2016 ที่ 12 เท่า และ EV/EBITDA 8 เท่า ฐานะการเงินดี จ่ายปันผลสม่ำเสมอ ประมาณการเงินปันผลปี 2015-2016 ไว้เท่ากันที่ 16 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield 3.7% ต่อปี แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 580 บาท
นักกลยุทธ์ & วิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]