- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 28 January 2016 15:27
- Hits: 1309
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
Market Trend
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (27 ม.ค.) - SET Index ปิดตัวลงที่ 1,278.29 จุด เพิ่มขึ้น 10.22 จุด หรือ +0.81% มูลค่าการซื้อขาย 42,243.03 ล้านบาท ตลาดฯปิดในแดนบวกตามตลาดหุ้นภูมิภาค และยังได้แรงหนุนจากงบ SCC ที่ออกมาดีกว่าคาด
ตลาดหุ้นต่างประเทศ - ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี Dow Jones ปิดที่ 15,944.46 จุด ร่วงลง 222.77 จุด หรือ -1.38% หลังเฟดแสดงความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกและไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในเดือนมี.ค. แต่ด้าน Stoxx Europe 600 ปรับขึ้น 0.3% ปิดที่ 340.24 จุด จากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวสูงขึ้น
ราคาน้ามันดิบ WTI (MAR) - สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 85 เซนต์ หรือ 2.7% ปิดที่ 32.33 ดอลลาร์/บาร์เรล แม้ EIA จะรายงานสต็อกน้ำมันดิบที่สูงขึ้นกว่าคาดก็ตาม
เศรษฐสหรัฐฯ - คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ในการประชุมเมื่อวานนี้ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ในช่วง 0.25-0.50% ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์กันไว้ และได้แสดงความกังวลครั้งใหม่เกี่ยวกับภาวะผันผวนในตลาดการเงิน
เศรษฐกิจไทย - สศค. คาดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากจะช่วยเพิ่ม GDP ขึ้นได้อีก 0.15% จากล่าสุดที่ สศค.ประมาณการไว้ว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.8%
เศรษฐกิจไทย - นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง ลดเป้าจีดีพีปีนี้ลงจาก 3.8% หลังไอเอ็มเอฟหดการโตเศรษฐกิจโลก
กลุ่มรับเหมาฯ - กระทรวงคมนาคมกำลังศึกษาโครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพ-ระยอง ความเร็ว 250 กม./ชั่วโมง นำเข้า PPP Fast Track เป็นโครงการที่ 6
ทิศทางตลาดหุ้นไทย วันนี้ตลาดหุ้นต่างประเทศให้ความสนใจกับ 2 เรื่องสำคัญๆ คือ ผลการประชุม FOMC ที่คงดอกเบี้ยไว้ แม้ตามคาด แต่ Fed ส่งสัญญาณว่ามีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจและระบบการเงินของโลก (เราคาดว่าน่าจะหมายถึงเศรษฐกิจจีน) จึงเป็นลบต่อตลาด ส่วนเรื่องที่สอง คือราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นจากการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯที่ลดลงและตลาดมีความหวังว่าจะมีการประชุมของผู้ผลิตน้ำมันเพื่อลดกำลังการผลิตน้ำมันลง ด้วย 2 ปัจจัยที่ให้ผลที่ต่างกัน จะทำให้นักลงทุนมีความลังเลว่าตลาดจะไปในทางใด ซึ่งจะทำให้มีแรงขายเพื่อลดความเสี่ยง หรือชะลอการลงทุน ดัชนีฯจึงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง และแกว่งเพียงกรอบแคบๆ ....... ปัจจัยสำคัญในระหว่างวัน จะเป็นทการตอบรับของนักลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศต่อผลการประชุม FOMC ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และกำไรของ PTTEP ที่จะรายงานต่อตลาดฯในวันนี้
กลยุทธ์การลงทุน เนื่องด้วยตลาดมีทั้งปัจจัยบวก (ราคาน้ำมันสูงขึ้น) และปัจจัยเสี่ยงในเรื่องของเศรษฐกิจโลกเข้ามา ทิศทางตลาดจึงดูไม่สดใสนัก เราแนะให้นักลงทุนชะลอดูทิศทางตลาดก่อนตัดสินใจเข้าลงทุน ..... สำหรับหุ้นที่เราคาดว่า นักลงทุนจะให้ความสนใจในวันนี้ น่าจะกระจุกตัวอยู่ในหุ้นบางตัว อาทิ หุ้นบวกจากราคาน้ำมัน หรือหุ้นที่คาดการณ์ผลประกอบการ Q4 หรือหุ้นที่มีข่าวเชิงบวกสนับสนุน อาทิ KBANK , PTTGC, CHO , AMATA, SAMART
Stock in Focus
SEAFCO : (ราคาปิด 8.75 บาท; ราคาที่เหมาะสมเฉลี่ยจาก IAA Consensus 11.83 บาท) หุ้นกลุ่มรับเหมาได้ปัจจัยหนุนจากการที่ภาครัฐมีการขับเคลื่อนการใช้จ่ายตามโครงการต่างๆ และเร่งเซ็นสัญญาภายในปีนี้ โดย SEAFCO เตรียมเข้าประมูลงานฐานรากของภาครัฐ รวมมูลค่า 6,500 ล้านบาท ผู้บริหารคาดว่าจะมีการทยอยเปิดประมูลและมีความชัดเจนใน Q1/59 และคาดว่ามีโอกาสได้งานราว 20-30% หรือมากกว่า 1,800 ล้านบาท... ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจารับงานเสาเข็มรถไฟฟ้าสายสีเขียวกับบริษัทเอกชนรายใหญ่แห่งหนึ่ง คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ โดยบริษัทฯถือว่ามีข้อได้เปรียบค่อนข้างมากเนื่องจากเคยรับงานเสาเข็มมาก่อนหน้านี้
หาก SEAFCO ได้งานทั้งงานประมูลภาครัฐและเอกชนดังกล่าววเข้ามา จะช่วยหนุน Backlog ในมือให้เพิ่มขึ้นราว 15% จากปัจจุบันมีอยู่ราว 1,400 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 900-1,000 ล้านบาท ช่วยหนุนให้ผลการดำเนินงานปี 2559 เติบโตได้ตามเป้าที่บริษัทฯตั้งไว้ที่ 1,800 ล้านบาท... บริษัทฯยังมีงานในเมียนมาที่ยังไม่รวมในเป้ารายได้ปีนี้ราว 230 ล้านบาท อยู่ระหว่างรอขอใบอนุญาตรับงาน คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในเร็วๆนี้ ซึ่งจะทำให้สัดส่วนรายได้ในต่างประเทศของบริษัทฯเพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปี 2558 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 6-8%... บริษัทฯคาดรายได้ปี 2558 อยู่ที่ราว 1,700 ล้านบาท อาจจะต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ จากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย แต่บริษัทฯยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และจะสามารถจ่ายปันผลได้ไม่น้อยกว่า 40% ตามนโยบายที่ตั้งไว้ ... SEAFCO ได้รับชำระคืนหนี้จากลูกหนี้ที่ตั้งสำรองจ่ายไว้ รวมมูลค่า 4 ล้านบาท ช่วยหนุนพอร์ตของบริษัทฯให้เติบโตขึ้น
นักวิเคราะห์