- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 28 January 2016 15:25
- Hits: 1100
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
แนวโน้ม FED ชะลอการขึ้นดอกเบี้ย กดดันดอลลาร์อ่อนค่า และผู้ผลิตน้ำมันโลกกำลังหาทางลด Oversupply หนุนราคาน้ำมันฟื้นตัวระยะสั้น และการที่รัฐยังคงเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจต่อ น่าจะหนุนตลาดหุ้นให้แกว่งตัวในกรอบ 1,285-1,260 จุด เลือก PTT(FV@B310) และ SCC(FV@B595) มีกำไรงวด 4Q58 ดีกว่าคาด เป็น Top Picks
Dollar อ่อนค่าหลัง Fed ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยช้ากว่าแผนเดิม
หลังการประชุมของ Fed ระหว่าง 26-27 ม.ค.59 ดูเหมือนตลาดหุ้นโลกจะตอบรับไม่ชัดเจน กล่าวคือ ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนล้วนปิดตลาดติดลบเฉลี่ย 1.5% ขณะที่ราคาน้ำมันดิบโลกกลับฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งประเด็นหลักน่าจะเป็นผลจากค่าเงินดอลลาร์ฯ ที่มีแนวโน้มอ่อนค่า หลังจากที่ส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยในปี 2559 อาจจะไม่เป็นไปตามกรอบที่เคยกำหนดไว้ในการประชุมเมื่อตอนปลายปี 2558 กล่าวคือแม้ Fed จะยังมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยเฉพาะตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง (อัตราการว่างงานอยู่ที่ 5% ใกล้เคียงกับก่อนวิกฤติในปี 2551-2552) หนุนการบริโภคภาคครัวเรือน (ยอดขายบ้านใหม่และยอดขายบ้านมือสอง ปรับเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 และ 5 ตามลำดับ) แต่ในที่ประชุมครั้งนี้กลับให้น้ำหนักต่อการชะลอตัวเศรษฐกิจโลกมากขึ้น โดยเฉพาะจีน และภาวะผันผวนในตลาดการเงินมากขึ้น ซึ่งต่างกับการประชุมรอบในเดือน ธ.ค.58 (Fed ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรก จาก 0.25% เป็น 0.5%) ที่ให้น้ำหนักต่ออัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะปรับตัวขึ้นได้ตามเป้าหมายในปี 59
ด้วยเหตุนี้ทำให้ตลาดมองว่า Fed จะไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ หรือในทางตรงกันข้ามอาจจะกลับมาลดดอกเบี้ยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของ Fed ในช่วงที่ผ่านมาถือว่าผิดพลาด อย่างไรความคาดหวังว่า Fed ชะลอตัวขึ้นดอกเบี้ยมีส่วนสำคัญที่กดดันให้ Dollar Index ได้อ่อนค่าลงมา 0.4% อยู่ที่ 98.90 หลังจากที่แตะระดับ 100 ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันดิบโลกประการหนึ่ง (ปกติค่าเงินดอลลาร์ จะผันผวนในทางตรงกันข้ามกับราคาน้ำมันดิบโลก)
ราคาน้ำมันดิบยังฟื้นต่อ การใช้น้ำมันทำความอุ่นเพิ่ม
วานนี้มีรายงานสต็อกน้ำมันของสำนักสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) สิ้นสุดสัปดาห์ (22 ม.ค.) ออกมาเพิ่มขึ้นน้อยว่าตลาดคาด โดยรายงาน 8.4 ล้านบาร์เรล เทียบกับที่ตลาดคาดที่ 11.4 ล้านบาร์เรล (ส่งผลทำให้สต็อกน้ำมันดิบอยู่ที่ 4.94 ล้านบาร์เรล) เช่นเดียวกับสต็อกน้ำมันน้ำมันสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้น แต่เป็นการเพิ่มขึ้นของน้ำมันเบนซิน (เพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 11 อยู่ที่ 3.46 ล้านบาร์เรล) ยกเว้น สต็อกน้ำมันกลั่น Heating Oil และน้ำมันดีเซล ที่ลดลง 4.1 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดการณ์จะลดลงเพียง 2 ล้านบาร์เรล ทั้งนี้เพราะความต้องการใช้น้ำมันในการทำความอุ่นในภูมิภาคอเมริกาและยุโรป
นอกจากนี้ การที่รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของรัซเซีย กำลังเจรจากับ ซาอุดิอาระเบีย และกลุ่ม OPEC เพื่อหาทางลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบโลกลง ลดความกดดันประเด็น Over supply ลง และบวกกับ Dollar Index ที่เริ่มกลับมาอ่อนค่าดังกล่าวข้างต้น ช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นยืนเหนือระดับ 30 เหรียญฯต่อบาร์เรล อาทิ น้ำมันตลาดล่วงหน้าล่าสุด WTI และ Brent วานนี้ปิดตลาดที่ 32.30 เหรียญฯต่อบาร์เรล และ 33.1 เหรียญฯต่อบาร์เรล หรือเพิ่มขึ้น 2.7% และ 4.1% เช่นเดียวกับน้ำมันดูไบที่เพิ่มขึ้นกว่า 5.8% ปิดตลาด 25.9 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่ง ณ ราคาน้ำมันปัจจุบัน คาดว่าผ่านจุดต่ำสุดแล้วและมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มพลังงานซึ่ง ณ ราคาปัจจุบันถือว่าปรับฐานไปมากแล้ว จึงเป็นจังหวะเข้าสะสม ทั้ง PTT(FV@B310) มี upside 39.64% และ PTTEP(FV@B60) มี upside 15.94%
คาดหวังแผนกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ที่มุ่งไปยังโครงข่ายสื่อสาร
หลังจากที่รัฐได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายขนาน คาดว่าในปี 2559 น่าจะเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง ล่าสุดที่ประชุม ครม. เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบอนุมัติงบฯ เพิ่มเติม 3.5 หมื่นล้านบาท ผ่านกองทุนหมู่บ้าน 79,556 กอง หมู่บ้านละไม่เกิน 5 แสนบาท เพื่อเสริมกับกองทุนตำบลละ 5 ล้านบาทดังกล่าว (รองนายกฯ สมคิด ระบุว่างบฯ นี้มาจากงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ท้องถิ่น ไม่ใช่เงินที่มาจากการประมูล 4G) ทั้งนี้ มีกำหนดเบิกจ่ายภายใน 6 เดือนนับจากวันได้รับจัดสรรงบฯ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการเบิกจ่ายได้เร็วขึ้น และน่าจะหนุนให้มีการใช้จ่ายภาคครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ ขณะที่โครงการเศรษฐกิจดิจิทัลนั้น หลังจากที่เงียบหายไประยะหนึ่ง ก็เริ่มกลับมาพิจารณากันอีกครั้ง โดยเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รมว.ไอซีที ระบุว่า ครม.อนุมัติโครงการขยายบรอดแบนด์ทั่วประเทศ 7 หมื่นหมู่บ้าน วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท โดยมีพื้นที่ต้องลงทุน 40% ส่วนที่เหลือ 50% มีโครงข่ายของเอกชนอยู่แล้ว โดย TOT และ CAT เป็นแกนหลัก (ท่อใหญ่) และให้เอกชนเข้าร่วมขยายโครงข่ายเข้าหมู่บ้าน (ท่อเล็ก) และ กสทช. ดูแลพื้นที่ชายขอบ ซึ่งคาดว่าราวเดือน ก.พ. จะทราบพื้นที่ลงทุน 40% ทั้งหมด ประเด็นข่าวดังกล่าวน่าจะสร้าง Sentiment บวกให้หุ้นผู้ประกอบการรับเหมาวางระบบโครงข่ายโทรคมนาคมอย่างต่อเนื่อง อาทิ SAMTEL([email protected]) และ AIT([email protected]) ทั้งนี้ บริษัทข้างต้นน่าจะถือเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์โดยตรง เพราะปัจจุบันรับงานวางระบบไอซีทีให้กับกลุ่มลูกค้าภาครัฐฯ เป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว จึงมีโอกาสที่จะได้รับงานเพิ่มเติมจากโครงการลงทุนดังกล่าว
SCC รายงานงบ 4Q58 ดีกว่าคาด และยังสดใสต่อปี 2559
ช่วงนี้หุ้นในกลุ่มที่มิใช่สถาบันการเงิน ได้ทยอยรายงานงบงวด 4Q58 ซึ่งส่วนใหญ่ยังชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศ แต่อาจจะยกเว้นบางแห่ง เช่น SCC (FV@B595) พบว่า กำไรสุทธิงวด 4Q58 ดีกว่าคาด โดยเติบโต 29%yoy และ 27%qoq ทั้งนี้ เกิดจากธุรกิจปิโตรเคมี (คิดเป็นกว่า 65% ของกำไรทั้งหมด) ยังคงสร้างกำไรได้อย่างโดดเด่น จาก spread ที่ยังทรงตัวในระดับสูง ขณะที่ stock loss ลดลงมากกว่าคาด ส่งผลให้ทั้งปี 2558 กำไรสุทธิเติบโต 35% ส่วนปี 2559 คาดธุรกิจปิโตรเคมีจะยังเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักตามวัฏจักรขาขึ้นของอุตสาหกรรม รวมทั้งจะได้แรงหนุนจากการลงทุนโครงการภาครัฐกระตุ้นความต้องการใช้ปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างอื่นๆ ตั้งแต่ 2H59 เป็นต้นไป คาดกำไรปี 2559 จะขึ้นทำจุดสูงสุดอีกครั้ง โดยเติบโต 8.4%
ตามมาด้วย DCC ([email protected]) กำไรสุทธิงวด 4Q58 เติบโต 26%qoq และ 24%yoy หลักๆ มาจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้นมากจากการตลาดเชิงรุก รวมถึงต้นทุนพลังงานที่ลดลงช่วยหนุน Gross Margin ส่วนปี 2559 คาดกำไรเติบโตในอัตราลดลงเหลือ 6.5% เนื่องจากตลาดในประเทศที่ชะลอตัว ทำให้บริษัทเร่งปรับกลยุทธ์ขยายฐานรายได้ไปสู่ตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้น แม้ DCC เคยเป็นหุ้นที่ ให้เงินปันผลสูง แต่ด้วยราคาหุ้นที่ซื้อขายบน PER สูงกว่า 19 เท่า ทำให้ความน่าสนใจมีน้อยลง จึงแนะนำ Switch ไปลงทุนใน SCC (FV@ B595 ) ที่มีแนวโน้มการเติบโตโดดเด่น และให้ Upside ที่มากกว่า
ส่วนบริการอื่น ๆ ยังคงเผชิญกับภาวะชะลอตัวตามเศรษฐกิจในประเทศ เริ่มจากกลุ่มสื่อ/บันเทิง ที่ประกาศบริษัทแรกคือ VGI ([email protected]) พบว่า กำไรสุทธิงวด 3Q58/59 (ต.ค. – ธ.ค.) ลดลง 11% qoq เพราะเทียบกับฐานกำไรงวดเดียวกันของปีก่อนที่สูง เพราะมีกำไรพิเศษ แต่หากพิจารณาเฉพาะกำไรปกติจะเพิ่มขึ้นเพียง 6% qoq (แต่ลดลง 10%yoy) ตามภาวะสื่อโฆษณาที่ยังชะลอตัว
สำหรับแนวโน้มงวด 4Q58/59 (ม.ค.-มี.ค.) คาดกำไรจะยังลดลงตามช่วงฤดูกาล แต่เริ่มเห็นการฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2559 แต่คาดว่าจะเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป คือ 8% ในปี 2559/60 และ เพิ่มอีก 12% ปี 2560/61 เป็นต้น ซึ่งขึ้นกับความคืบหน้า ของการเปิดเส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ที่คาด BTS (บริษัทแม่ของ VGI) จะชนะประมูล 4 เส้นทาง VGI จะได้รับสัมปทานพื้นที่โฆษณาตามไปด้วย อย่างไรก็ตามระยะสั้นยังขาดปัจจัยเร่ง จึงแนะนำให้ Switch ไป WORK (FV@B50) ที่มีความน่าสนใจกว่า และ JAS ([email protected]) กำไรสุทธิงวด 4Q58 เพิ่มขึ้น 19%qoq แต่หากไม่รวมกำไรพิเศษ พบว่ากำไรปกติลดลงถึง 37%qoq จากต้นทุนค่าเช่า และค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนปี 2559 ธุรกิจใหม่โทรศัพท์มือถือจะเป็นตัวกดดันผลการดำเนินงาน เนื่องจากอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบ operator 3 รายเดิม แทบทุกด้าน อีกทั้งโครงข่ายให้บริการที่ต้องลงทุนใหม่ ยังไม่รวมถึงค่าประมูลคลื่น 900 MHz ที่สูงมาก โดยคาดว่า JAS จะพลิกจากที่มีกำไรในปี 2558 มาเผชิญขาดทุนปี 2559 นี้ที่ 3.6 พันล้านบาท และจะขาดทุนต่อเนื่องอีกปีถัดๆ ไป โดยคาดว่าความเสี่ยงธุรกิจใหม่เกินกว่าปันผลที่ประกาศ จึงยังคงคำแนะนำ ขาย
ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเล็กน้อย
วานนี้ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเล็กน้อยราว 10 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว) แต่ยังคงขายสุทธิ กาหลีใต้ ราว 14 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 10) ส่วนที่เหลืออีก 4 ประเทศต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิ คือ อินโดนีเซียซื้อสุทธิราว 6 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว) ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ซื้อสุทธิเล็กน้อยราว 2 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 วัน) เช่นเดียวกับไต้หวันถูกซื้อสุทธิเล็กน้อยราว 2 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว) และไทยถูกต่างชาติสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 13 ล้านเหรียญ หรือ 472 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิต่อเนื่อง 2 วัน) เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิราว 1,771 ล้านบาท
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ที่นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 673 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิสูงถึง 13,534 ล้านบาท (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 โดยมียอดซื้อสุทธิรวม 25,606 ล้านบาท) ส่วนค่าเงินบาทล่าสุดยังประคองตัวอยู่ที่ 35.86 บาท/ดอลลาร์
ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์