WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBS copyบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

"ราคาน้ำมันเด้ง & เก็งกำไรผลประกอบการ"
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, DTAC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, QTC, SNC, TCAP, TMT, BTSGIF, DIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : GLOBAL 20%, SPALI 16%, PTTEP & THAI 11%, BH & BJC 10%

Technical View ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ
Support Resistance Stop Loss
SET 1220,1200 1280-1290,1300 หุลด 1255
SET50 750-740 800,810-820 หลุด 785
Technical Picks- Today : KTB, SYNEX, GUNKUL, SCI, SPA, BH, GFPT, COM7

หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยปิดทรงตัวที่ 1268.07 โดยมีแรงซื้อกลุ่มสื่อสาร และกระจายเป็นรายบริษัท แต่มีแรงขายในกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบกลับมาอ่อนตัวลงแต่ราคาหุ้นก็ไม่ถึงกับร่วงรุนแรง นักลงทุนแต่ละกลุ่มซื้อ/ขายใกล้เคียงกัน
Sentiment ตลาดดีขึ้นหลังราคาน้ำมันดิบบวกขึ้น 4% หนุนโดยข่าวที่ว่าประเทศในกลุ่มและนอกกลุ่มโอเปกอาจจะร่วมมือกันลดปริมาณการผลิตเพื่อสกัดการลดลงของราคาน้ำมัน รวมถึงการซื้อเก็งกำไรผลประกอบการช่วยหนุนด้วย ทั้งนี้นักลงทุนอาจมองข้ามผลประกอบการที่อ่อนแอใน 4Q15 ของหุ้นบางตัวเพราะเป็นไปตามที่คาดไว้และราคาหุ้นได้ตอบรับไปแล้วโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงาน แล้วมองหาโอกาสการลงทุนสำหรับปี 2016 ต่อไป ซึ่งเรามองว่าหุ้น PTT และ PTTGC น่าสนใจสะสมเพื่อการลงทุน เพราะคาดว่าผลประกอบการปี 2016 จะพลิกฟื้นจากฐานที่ต่ำมากในปีก่อน นอกจากนั้นก็มีกลุ่มอาหารที่จะมี Norm Profit เติบโตดีในปี 2016 หุ้นเด่นคือ GFPT, CPF และ TU ปัจจัยที่ติดตาม คือ ผลประชุมและถ้อยแถลงของเฟด (จะออกมาเวลา 02.00 น.เช้าวันพฤหัสฯ ตามเวลาไทย) ซึ่งเราและตลาดประเมินว่าเฟดจะส่งสัญญาณไม่เร่งรีบปรับขึ้นดอกเบี้ยเพราะความไม่แน่นอนภายนอกมีมากขึ้น หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น PTT
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมดูเป็นบวกเล็กๆ (ปิดบวกได้เล็กน้อย & อยู่เหนือเส้น SMA10) ดัชนีมีโอกาสรีบาวด์สั้นก่อนลงต่ำต่อ แนวต้านระยะสั้น 1280, 1290-1300 จุด ค่าลบดูไม่ดี ดัชนีต่ำกว่า 1255 จุด ควรลดพอร์ตตาม หรือตัดขายขาดทุน (Stop loss) เพราะมีโอกาสลงไปที่แนวรับ 1220, 1200 จุด
ส่วนการ SCAN หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น เราพบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น SYNEX, SPA ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ QTC, ASEFA, JTS, KKP, GLOBAL, J หุ้นที่อยู่ในพื้นที่ขายทำกำไร คือ TRC

Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : ราคาบ้านในสหรัฐปรับตัวขึ้น 5.3%YoY ในเดือนพ.ย.2015 เพราะอุปทานที่เสนอขายมีน้อย, อัตราดอกเบี้ยจำนองอยู่ในระดับต่ำ และภาวะตลาดแรงงานดีขึ้น
+ สหรัฐ : ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 98.1 ในเดือนม.ค.2016 จากระดับ 96.3 ในเดือนธ.ค.2015 นับว่าความเชื่อมั่นยังคงแข็งแกร่ง
สหรัฐ : จับตาถ้อยแถลงเฟด โดยคณะกรรมการ FOMC จะแถลงผลประชุมเวลา 02.00 น. ของเช้าวันพฤหัสบดีตามเวลาไทย ซึ่งคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณไม่เร่งรีบปรับขึ้นดอกเบี้ยเพราะปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนภายนอกที่มีมากขึ้น
- รัสเซีย : เศรษฐกิจ 4Q15 หดตัวที่ -3.8%YoY เนื่องจากการดิ่งลงของราคาน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศ และผลกระทบจากการถูกคว่ำบาตรโดยชาติตะวันตก (กรณีรัสเซียเข้าแทรกแซงในยูเครน) รวมถึงค่าเงินรูเบิลที่อ่อนค่าลงอย่างมาก
+ ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้น ดัชนี DJIA ปิด +1.78% (+282.01 จุด) ตอบรับน้ำมันที่ดีดขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และผลประกอบการที่ดีเกินคาดของหลายบริษัท เช่น 3M, พร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน
+ น้ำมัน : กลุ่มโอเปกและประเทศนอกกลุ่มอาจร่วมมือปรับลดปริมาณการผลิต เพื่อสกัดการร่วงลงต่อของราคาน้ำมันและลดปริมาณอุปทานน้ำมันที่ล้นเกินลง


ทาง DBS Group Research ได้ทำการศึกษาอุปสงค์และอุปทานน้ำมันดิบในตลาดโลก พบว่าปัญหาหลักที่กดดันราคาน้ำมันดิบ คือ อุปทานที่เพิ่มมากและล้นเกิน หากไม่มีการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันและปล่อยให้อุปสงค์เติบโตตามปกติพบว่า ระดับอุปสงค์และอุปทานจะเข้าสู่ภาวะสมดุลในช่วง 3Q17 แต่ถ้ามีการปรับลดปริมาณการผลิตลงก็จะช่วยให้เข้าสู่สมดุลได้เร็วขึ้นเป็นภายในปี 2016 หรือต้นปี 2017
+ ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น สัญญาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT ส่งมอบมี.ค.2016 ปรับขึ้น 1.11 และ 1.3 ดอลลาร์ ปิดที่ 31.45 และ 31.80 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังกลุ่มในและนอกโอเปกเริ่มกล่าวถึงความร่วมมือในการปรับลดปริมาณการผลิตเพื่อพยุงราคาน้ำมัน ปัจจัยที่ติดตาม คือ รายงานสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐ ซึ่งจะออกมาในวันนี้เวลา 22.00 น. ตามเวลาไทย
+ ราคาทองคำพุ่งขึ้น โดยสัญญาตลาด COMEX ส่งมอบก.พ.บวกขึ้น 14.9 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,120.2 ดอลลาร์/ออนซ์ หนุนโดยการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์เพราะคาดว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมปลายม.ค.นี้ ล่าสุดดัชนี Dollar cash index อยู่ที่ 99.024 ลดลงจากระดับสูงสุดของ 4 วันทำการก่อนหน้าที่ 99.799

ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
- ไทย : ส่งออกเดือนธ.ค.2015 แย่กว่าคาด...แนวโน้มปี 2016 ยังไม่สดใสนัก กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกรูปดอลลาร์สหรัฐเดือนธ.ค.2015 หดตัวที่ -8.73%YoY และมูลค่านำเข้า -9.23%YoY สำหรับทั้งปี 2015 มูลค่าส่งออก -5.78%YoY เป็น 214.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนนำเข้า -11.02% เป็น 202.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เกินดุลการค้าปี 2015 เท่ากับ 11.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ


ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : แนวโน้มปี 2016 ยังไม่สดใสนัก เราคาดว่าการเติบโตจะจำกัดอยู่ที่ 2-3% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังเติบโตช้า ราคาน้ำมันตกต่ำต่อ และราคาสินค้าเกษตรยังไม่ฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม คาดว่าไทยจะเกินดุลการค้าต่อในปีนี้ สำหรับปัจจัยที่ติดตาม คือ 1) การแก้ปัญหาการประมงผิดกฎหมายของไทย ซึ่ง EU จะเข้ามาตรวจอีกครั้งใน 6 เดือนข้างหน้า โดยขณะนี้ยังให้ใบเหลืองไทยต่อ, 2) ค่าเงินบาท ที่มีแนวโน้มอ่อนตามภูมิภาค แต่ระยะสั้นมากอาจกลับมาแข็งค่าจากที่คาดว่าเฟดไม่เร่งรีบปรับขึ้นดอกเบี้ย และ 3) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ
กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มส่งออก เน้นเป็นการเลือกซื้อ โดยมองว่าหุ้นในกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ปรับขึ้นรับแนวโน้มที่ดีไปมากแล้วทั้ง KCE และ SVI เชิงกลยุทธ์จึงแนะนำถือ ส่วนที่แนะนำซื้อเป็นหุ้นอาหารส่งออก คือ GFPT CPF และ TU ซึ่งราคาเนื้อสัตว์ในประเทศได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ธุรกิจกำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ลดลงช่วยหนุนอัตรากำไร คาดว่าจะเห็นกำไรที่แข็งแกร่งชัดเจนใน 3Q16 สำหรับกำไรทั้งปี 2016 คาดว่า Norm Profit ของ GFPT จะเติบโต 8% (สะท้อนอัตราภาษีที่เพิ่มแล้ว) แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 13 บาท และ Norm Profit ของ CPF ขยายตัวก้าวกระโดด 114% จากฐานที่ต่ำมากในปี 2015 (คาด EPS ปี 2016 เพิ่มเป็น 0.84 จาก 0.39 บาท/หุ้นในปีก่อน) แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 22 บาท ด้าน TU ฝ่ายวิจัยฯ DBSV ประเมินว่าปี 2016 จะเห็นผลดีจากการเข้าซื้อกิจการและการเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่เป็นแบรนด์ซี่งมีมาร์จิ้นดีกว่าสินค้าประเภท OEM ชัดเจนขึ้น ประมาณการ Norm Profit ปีนี้โต 10% แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 22.4 บาท


Moody's ลดอันดับเครดิตกลุ่ม PTT และอีก 6 บริษัทพลังงานในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สะท้อนราคาน้ำมันดิบที่ตกต่ำและฟื้นตัวช้ากว่าคาด ซึ่งทำให้บริษัทพลังงานมีกระแสเงินสดที่ตึงตัวมากขึ้น ทั้งนี้อันดับเครดิต PTT ลดลงจาก A3 เป็น Baa1 แนวโน้มมีเสถียรภาพ (Stable) ซึ่งการปรับลดเครดิตบริษัทแม่ทำให้เครดิตของบริษัทย่อย คือ TOP, PTTGC และ IRPC ลดลงไปด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารกลุ่ม PTT กล่าวว่าการปรับลดนี้ไม่กระทบแผนลงทุน


ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : คาดว่าต้นทุนการเงินในอนาคตของกลุ่ม PTT จะเพิ่มขึ้นบ้างแต่ไม่มาก ขณะที่ราคาหุ้นได้ปรับลงสะท้อนการลดลงของราคาน้ำมัน, การปรับแผนลงทุน และผลประกอบการที่อ่อนแอในปี 2015 ไปพอควรแล้ว แนะนำซื้อสะสมเพื่อลงทุน โดยหุ้นที่แนะนำซื้อและยังมี Upside จูงใจเป็น PTT และ PTTGC (สำหรับ PTTGC คาดว่าNorm Profit 1Q16 จะเติบโตชัดเจน QoQ เพราะปริมาณขายเพิ่มจาก 4Q15 ที่ปิดซ่อมบำรุง และอุปสงค์ปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นก่อนตรุษจีน ด้าน Spread ยังอยู่ในเกณฑ์ดีโดย YTD บวกขึ้น 2-7% จาก 4Q15)
นักกลยุทธ์ & วิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!