- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 26 January 2016 17:42
- Hits: 4959
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ผันผวนจากราคาน้ำมัน & รอผลประชุมเฟด'
Stock Picks-Jan 2016 : Fundamental : ANAN, AOT, BTSGIF, CPN, GL และ Dark Horse เป็น CK
Fundamental Pick -Today: BDMC (ดูรายละเอียดด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, DTAC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, QTC, SNC, TCAP, TMT, BTSGIF, DIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : KBANK 14%, TRUE 13%, BJC 11%, SAMART 11%, PTTEP 11%, SPALI 10%
Technical View ภาพตลาดพลิกเป็นลบเล็กๆ
Support Resistance Stop Loss
SET 1220,1200 1280-1290,1300 หุลด 1255
SET50 750-740 800,810-820 หลุด 785
Technical Picks- Today : KTB, DCC, TRC, J, TNH, BH, BA, CWT
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : DCC, KCE (จากซื้อเป็น ถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ผันผวน โดยปรับขึ้นช่วงแรก (สูงสุด 1283.51 จุด) แล้วอ่อนลงด้วยแรงขายทำกำไรทั้งในกลุ่มพลังงานและแบงค์ (โดยส่วนของธนาคารวิตกเรื่องที่จะออกแบงค์การันตีให้กับ JAS & TRUE ด้วย) ปิดตลาดดัชนีเกลี่ยระดับต่ำสุดของวันและใกลักับปิดวันก่อนที่ 1267.70 จุด นักลงทุนรายย่อยนำขายสุทธิ 2.3 พันล้านบาท พอร์ตบล.และต่างชาติขายสุทธิเล็กน้อย สถาบันในประเทศเป็นกลุ่มที่ซื้อสุทธิ 2.4 พันล้านบาท
ตลาดจับตาผลประชุมเฟดวันที่ 26-27 ม.ค.2016...โดยเราคาดเฟดคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 0.5% และน่าจะมีมุมมองที่ดีต่อการฟื้นตัวภาคแรงงานต่อ แต่กังวลกับปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่อาจกระทบการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐมากขึ้น ทำให้เฟดจะไม่เร่งรีบปรับขึ้นดอกเบี้ย ส่วนรายงานผลประกอบการ 4Q15 และปี 2015 กำลังทยอยออกมา ซึ่งอาจมีการเข้าเก็งกำไรรอบสั้นๆ สำหรับหุ้นที่มีผลกำไรสูงกว่าคาดและมีโมเมนตัมดีต่อในปี 2016 รวมถึงหุ้นที่ผลประกอบการจะ Turnaround ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม การดิ่งลงของราคาน้ำมันกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งมีสัดส่วน Market Cap และกำไรสูงในตลาดหุ้นไทย ดังนั้นในระยะสั้นมาก ตลาดมีโอกาสแกว่งลงอีกรอบ สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น BDMS
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมพลิกเป็นลบเล็กๆ แต่ยังไม่ตัดประเด็นรีบาวด์สั้นก่อนลงต่ำต่อ แนวต้านระยะสั้น 1280, 1290-1300 จุด ค่าลบดูไม่ดี ดัชนีต่ำกว่า 1255 จุด ควรลดพอร์ตตาม หรือตัดขายขาดทุน (Stop loss) เพราะมีโอกาสลงไปที่แนวรับ 1220, 1200 จุด
ส่วนการ SCAN หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น เราพบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น TRC, J ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ QTC, ASEFA, JTS, KKP, GLOBAL หุ้นที่อยู่ในพื้นที่ขายทำกำไร คือ DCC ส่วนหุ้นหลุด List เป็น GUNKUL
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
สหรัฐ : ติดตามผลประชุมเฟด 26-27 ม.ค.2016 โดยคณะกรรมการ FOMC ยืนยันเดินหน้าจัดการประชุมถึงแม้สหรัฐกำลังเผชิญสภาพอากาศแปรปรวนจากพายุหิมะก็ตาม โดยเฟดจะมีแถลงการณ์การประชุมออกมาเวลา 14.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 02.00 น. ของเช้าวันพฤหัสบดีตามเวลาไทย...นักเศรษฐศาสตร์และเราคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 0.5% ในการประชุมครั้งนี้ แต่อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม 15-16 มี.ค.2016 ทั้งนี้ขึ้นกับตัวเลขเศรษฐกิจที่เฟดได้รับก่อนการประชุม
ญี่ปุ่น : BOJ ประชุม 28-29 ม.ค.นี้ โดยตลาดคาดหวังว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะขยายการผ่อนคลายการเงินผ่านโครงการ QE เพิ่มอีก ทั้งนี้ผู้ว่าการธนาคารกลางให้ความเห็นว่าญี่ปุ่นยังมีช่องทางที่จะขยายได้ถ้าจำเป็น
/+ ฟอร์ด มอเตอร์ ประกาศยุติการดำเนินงานในญี่ปุ่นและอินโดนีเซียภายในสิ้นปี 2016 โดยจะถอนตัวจากทุกธุรกิจ ทั้งการนำเข้า ดีลเลอร์ โดยปัจจุบันมีดีลเลอร์ในญี่ปุ่น 52 แห่ง ยอดขายรถยนต์ 5 พันคันในปี 2015 และมีดีลเลอร์ในอินโดนีเซีย 44 แห่ง ยอดขาย 6 พันคันในปี 2015 ซึ่งเป็นยอดขายที่ต่ำกว่าเป้าหมายมาก...อาจเป็นโอกาสดีที่ไทยจะส่งออกรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ดไปในญี่ปุ่นและอินโดนีเซียได้มากขึ้น เพราะฟอร์ดมีฐานการผลิตที่ไทยอยู่ แต่ปริมาณอาจไม่มากถึงระดับก้าวกระโดด โดยเฉพาะในญี่ปุ่นซึ่งนิยมใช้รถยนต์ค่ายญี่ปุ่นด้วยกันเองมากกว่า
- การเมืองต่างประเทศ : กลุ่มรัฐอิสลาม (IS) ออกมาข่มขู่ว่ามีแผนที่จะก่อวินาศกรรมในยุโรปอีก ซึ่งต่อเนื่องจากการโจมตีที่กรุงปารีสเมื่อเดือนพ.ย.2015 ทั้งนี้กลุ่ม IS ออกคลิปวิดีโอขู่ว่าจะก่อเหตุก่อการร้ายในอังกฤษและอาจโจมตีฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่งเพื่อสังหารประชาชนจำนวนมาก และประเทศอื่นในสหภาพยุโรปก็ตกเป็นเป้าโจมตีด้วยเช่นกัน
- ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงต่ำกว่า 16,000 จุดอีกรอบ โดยดัชนี DJIA ปิดที่ 15,885.22 จุด ลดลง 208.29 จุด หรือ -1.29% เนื่องจากราคาน้ำมันดิบกลับมาอ่อนตัวลง กดดันหุ้นกลุ่มพลังงานโดยราคาหุ้นเอ็กซอน โมบิล และเชฟรอน ลดลงกว่า 3% ขณะที่หุ้นโคโนโคฟิลิปส์ดิ่ง 9.2% หลังจากมีรายงานว่าทางบริษัทอาจจะลดการจ่ายเงินปันผลลงอย่างน้อย 75%
- ราคาน้ำมันดิบร่วงหลังอิรักผลิตน้ำมันดิบเป็น Record High โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค.ร่วงลง 1.85 ดอลลาร์ หรือ -5.8% ปิดที่ 30.34 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ดิ่ง 1.68 ดอลลาร์ หรือ -5.2% ปิดที่ 30.5 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยกดดัน คือ รายงานที่ว่าการผลิตน้ำมันดิบของอิรักพุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์ในเดือนธ.ค.2015 หลังบ่อน้ำมันในภูมิภาคตอนกลางและใต้ของประเทศให้ผลผลิตน้ำมันสูงถึง 4.13 ล้านบาร์เรล/วัน ด้านกลุ่มโอเปกจะยังไม่มีการประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือเรื่องราคาน้ำมันตกต่ำเพราะมีประเทศสมาชิกเพียง 1 รายที่หนุนให้จัดประชุม
+ สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบก.พ. +9 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,105.30 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังตลาดหุ้นและตลาดเงินยังผันผวน และนักลงทุนต้องการพักเงินเพื่อรอดูผลประชุมเฟดสัปดาห์นี้ด้วย
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
TRUE : 5 ธ.พ.ร่วมกันออกหนังสือค้ำประกันมูลค่า 7.3 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้มีกระแสข่าวว่า TRUE เตรียมจ่ายเงินค่าประมูลงวดแรก 8.04 พันล้านบาทพร้อมหนังสือค้ำประกันทางการเงิน 7.3 หมื่นล้านบาทภายใน 18-22 มี.ค.2016 โดยมีธนาคาร 5 รายร่วมกันออกหนังสือค้ำประกันเท่าๆ กันรายละ 1.46 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย BBL, KTB, KBANK, SCB และ ICBC
ทางด้านผู้บริหาร KBANK กล่าวว่าธนาคารเตรียมพิจารณาออกหนังสือค้ำประกันทางการเงินให้ JAS และ TRUE โดยจะนำเรื่องให้คณะกรรมการธนาคารพิจารณาภายในสัปดาห์นี้ และคาดว่าจะออกแบงก์การันตีให้กับสองรายภายในสิ้นเดือนม.ค.2016 ทั้งนี้เราประเมินว่าจะเป็นลักษณะการให้ออกแบงค์การันตีร่วม (Syndication) เพื่อกระจายความเสี่ยง
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : ถ้าเป็นไปตามข่าวข้างต้น และให้สมมติฐานว่าธนาคารขนาดใหญ่ร่วมกันให้แบงค์การันตีกับ JAS และ TRUE รายละเท่าๆกัน พบว่าสัดส่วนการออกแบงค์การันตีร่วมให้กับผู้ประกอบการแต่ละรายจะอยู่ที่ 0.72-0.91% ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นธ.ค.2015 และถ้าแต่ละธนาคารให้แบงค์การันตีร่วมกับทั้ง JAS และ TRUE ก็จะมีสัดส่วนที่ 1.44-1.81% ของสินเชื่อรวม ซึ่งไม่ได้เป็นสัดส่วนที่สูงมาก
ทั้งนี้ตลาดกังวลกับการให้สินเชื่อและออกหนังสือค้ำประกันของธนาคารกับ JAS มากกว่า TRUE เนื่องด้วย JAS ไม่มีฐานลูกค้าในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ การที่จะได้มาซึ่งกระแสเงินสดจากการดำเนินงานตามเป้าหมายจึงมีความท้าทายมาก ขณะที่ TRUE มีฐานลูกค้าอยู่ราว 19 ล้านราย และมีผู้ถือหุ้นกลุ่มซีพี & พันธมิตรทางธุรกิจ คือไชน่าโมบาย ที่แข็งแกร่ง
+ ธุรกิจไก่ส่งออก : ปริมาณส่งออกปี 2015 ดีกว่าเป้าหมาย โดยกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยปริมาณส่งออกไก่ปี 2015 ว่าเท่ากับ 622,071 ตัน จากเป้าหมายที่ 600,000 ตัน เพิ่มขึ้น 14% (เป็นการส่งออกไก่สดแช่แข็ง 176,055 ตัน และไก่แปรรูป 446,016 ตัน) ด้านมูลค่าส่งออกเท่ากับ 2,405 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.5% ตลาดส่งออกหลัก คือ ญี่ปุ่น อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ ลาว และสิงคโปร์ ตามลำดับ
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เราคาดว่าปริมาณส่งออกไก่ในปี 2016 จะยังขยายตัวต่อได้ต่อเนื่อง เพราะเนื้อไก่เป็นแหล่งโปรตีนที่ราคาไม่แพง สามารถบริโภคได้ทุกศาสนาและทุกภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อุตสาหกรรมไก่ในประเทศยังเผชิญกับภาวะอุปทานสูง ทำให้ราคาในประเทศยังต่ำกว่า 40 บาท/กก. (อยู่ที่ประมาณ 37-38 บาท/กก.) แต่คาดว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะสมดุลได้ประมาณ 3Q16 ซึ่งทำให้ราคาไก่จะขยับขึ้นไปเป็น 40+ บาท/กก.ได้ แนะนำซื้อ GFPT ซึ่งคาดการณ์กำไรก่อนภาษีเติบโต 13% และกำไรสุทธิขยายตัว 8% ในปี 2016 ให้ราคาพื้นฐาน 13 บาท และแนะนำซื้อ CPF โดยคาดว่าใน 4Q15 จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ และ Norm Profit เติบโตได้ในปี 2016 โดยราคาเนื้อสัตว์ในประเทศและธุรกิจกุ้งได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ให้ราคาพื้นฐาน 22 บาท
นักกลยุทธ์ & วิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Update อุตสาหกรรม & หุ้นในเชิงกลยุทธ์
# BDMS (ราคาปิด 21.90 บาท) : มีเครือข่ายกว้างขวาง
ตั้งเป้าจะเป็นโรงพยาบาลที่มีโครงข่ายมากที่สุดในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ที่ผ่านมาในช่วงปี 2014-2015 ได้เข้าซื้อกิจารและก่อสร้างโรงพยาบาลเองเป็นจำนวนมาก ปัจจุบัน (พ.ย.2015) มีจำนวนโรงพยาบาลมากถึง 42 แห่ง
อย่างไรก็ตาม การเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่ทำให้มี EBITDA ที่เป็นลบในช่วง 2 ปีแรก ยังผลให้อัตราการเติบโตของกำไรปี 2015-2016 จะเป็นตัวเลขเดียว (one-digit)
เราคาดว่า บริษัทจะบรรลุแผนการเพิ่มโรงพยาบาลเป็น 50 แห่งภายในปี 2018 ได้ไม่ยาก เมื่อพิจารณาจากแนวทางการลงทุนของบริษัท และทางกลุ่มบริษัทยังมีเป้าที่จะเพิ่มจำนวนอาคารในบริเวณอาคารสำนักงานใหญ่ในอนาคต เราจึงคาดว่าผลการดำเนินงานจะกลับมาก้าวกระโดดอีกครั้งในปี 2017 โดยประมาณการว่ากำไรสุทธิจะเติบโต 19% y-o-y เพราะโรงพยาบาลที่เปิดใหม่และเข้าซื้อกิจการไปเมื่อ 1-2 ปีก่อนทำกำไรได้ดีขึ้น
แนะนำถือ โดยราคาเป้าหมายใน IAA Consensus เฉลี่ยอยู่ที่ 24.35 บาท/หุ้น ทั้งนี้ปัจจุบันคนไข้ต่างชาติคิดเป็นสัดส่วนรายได้ที่ 30% ของรายได้รวม และมีแนวโน้มขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
# Turnover List Watch: NCL-W1 ติด Trading Alert ต้องใช้ Cash Balance
ตลาดฯประกาศให้ NCL-W1 ติด Cash Balance เป็นเวลา 3 สัปดาห์ เริ่มวันนี้ 26 ม.ค.59-19 ก.พ.59
ด้านหลักทรัพย์ที่มีวันสุดท้ายใช้ Cash Balance ในรอบสัปดาห์นี้คือ 29 ม.ค.59 อาจมีการเก็งกำไรล่วงหน้า แต่อาจต้องระมัดระวังในเรื่องที่ตลาดฯอาจกลับต่ออายุการใช้ Cash Balance ได้แก่ SPRC, TACC, TAPAC-W2, THE
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา [email protected]