- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 21 January 2016 17:49
- Hits: 1457
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ยังผันผวน...เลือกซื้อ/ถือด้วยค่าบวก'
Stock Picks-Jan 2016 : Fundamental : ANAN, AOT, BTSGIF, CPN, GL และ Dark Horse เป็น CK
Fundamental Pick -Today: SCB (ดูรายละเอียดด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, DTAC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, QTC, SNC, TCAP, TMT, BTSGIF, DIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : TDEX 30%, PTTEP 19%, BLA 18%, GLOW 16%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ แต่มีลุ้นรีบาวด์หลังลงแรง
Support Resistance Stop Loss
SET 1200+/- 1260-1270,1280 ค่าลบ
SET50 750-740 790-800,810 ค่าลบ
Technical Picks- Today : KBANK, SCB, TTCL, JTS, ASEFA, TACC, PLANB, HFT
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปิดลดลง 17.03 จุดที่ 1248.98 โดยลดลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเชีย ซึ่งกังวลกับการร่วงลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ และมีกระแสคาดการณ์ว่าฮ่องกงจะประกาศลดค่าเงินเพื่อสะท้อนภาวะเศรษฐกิจและการไหลออกของเงิน ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาก่อน ซึ่งฉุด Sentiment ตลาดหุ้นเอเชียในช่วงบ่ายให้เป็นลบยิ่งขึ้นด้วย นักลงทุนสถาบันและต่างชาติซื้อขายใกล้เคียงกัน พอร์ตบล.นำขายสุทธิและรายย่อยนำซื้อสุทธิ
ตลาดยังมีปัจจัยเสี่ยงกดดันหลายประการ เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและทั่วโลก การลดลงของราคาน้ำมันกดดันเศรษฐกิจประเทศที่พึ่งพาน้ำมันมากๆ และทำให้ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้บริษัทน้ำมันมีมากขึ้นด้วย การอ่อนค่าของเงินกระทบการลงทุนและงบดุลของหลายประเทศ ขณะเดียวกันผลประกอบการ 4Q15 ของหลายอุตสาหกรรมยังซบเซา (แต่ก็คาดว่าโดยภาพรวมจะดีขึ้นเมื่อเทียบ QoQ เพราะกลุ่มพลังงานมีกำไรจากการทำประกันความเสี่ยงเข้ามาช่วยหนุนในไตรมาสนี้) กลยุทธ์การลงทุน ยังคงเป็นการเลือกซื้อ/ถือเป็นรายบริษัท หุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อลงทุนวันนี้เป็น SCB
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมเป็นลบเล็กๆ แต่มีลุ้นรีบาวด์หลังลงแรง แนวต้านระยะสั้น 1260-1270, 1280 จุด ค่าลบดูไม่ดี ควรลดพอร์ตตาม หรือตัดขายขาดทุน (Stop loss) เพราะมีโอกาสลงไปที่แนวรับ 1200+/- จุด ส่วนการ SCAN หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น เราพบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น KBANK, GUNKUL, ASEFA ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ QTC, KTB, SCN, ASIMAR หุ้นที่หลุด List เป็น IRPC, VNG, LIT, CHG
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
- IMF ปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจโลก โดยของปี 2016 ปรับลดลงเป็น 3.4% (จากประมาณการครั้งก่อนเมื่อต.ค.2015 ที่ 3.6%) และปีของ 2017 เป็น 3.6% (เดิม 3.8%) ส่วนปี 2015 ประเมินไว้ที่ 3.1%
ในส่วนของเศรษฐกิจสหรัฐปี 2016-2017 ปรับลดการเติบโตเป็น 2.6% เท่ากับ (เดิม 2.8% เท่ากัน) ส่วนของยูโรโซนปี 2016 ขยับขึ้นเป็น 1.7% (เดิม 1.6%) แต่ทรงของปี 2017 ไว้ที่ 1.7% ด้านญี่ปุ่นปี 2016 ทรงไว้ที่ 1.0% แต่ปี 2017 ปรับลดลงเป็น 0.3% (เดิม 0.4%) และคงตัวเลขประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจจีนปี 2016-2017 ไว้ที่ 6.3% และ 6.0%
สำหรับประเทศเกิดใหม่ ปรับลดของปี 2016-2017 สู่ 4.3% และ 4.7% (เดิม 4.5% และ 4.9%) และประเมินว่าเศรษฐกิจรัสเซียจะ -1.0% ในปี 2016 (เดิม -0.6%) รวมทั้งปรับลดคาดการณ์ปี 2016-2017 ของซาอุดิอาระเบียลงแรงเป็น 1.2% และ 1.9% (จาก 2.2% และ 2.9%)
ความเสี่ยงขาลง (Downside risks) ที่สำคัญ คือ 1. การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่จะกระทบการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศแถบเอเชีย, 2. การอ่อนค่าของเงินที่กระทบต่อการลงทุนทั้งโดยตรงและโดยอ้อม รวมทั้งทำให้งบดุลของบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งอ่อนแอลง และ 3. ความขัดแย้งทางการเมืองและภัยก่อการร้าย
- จีน : การลงทุนโดยตรงธ.ค.ลดลงแรง กระทรวงพาณิชย์จีนเปิดเผยตัวเลข FDI เดือนธ.ค.ลดลง 5.8%YoY สู่ระดับ 7.702 หมื่นล้านหยวน (1.223 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ)
- สหรัฐ : ตัวเลขเริ่มต้นสร้างบ้าน
ลดลง 2.5%MoM ในเดือนธ.ค. สู่ระดับ 1.149 ล้านยูนิต แย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 1.2 ล้านยูนิต
- สหรัฐ : ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ธ.ค.2015 ลดลง 0.1%MoM เพราะถูกกดดันจากราคาน้ำมันที่ร่วงลง และการแข็งค่าของดอลลาร์
+ สหรัฐ : ดัชนีค้าปลีก จอห์นสัน เรดบุ๊คดีกว่าคาด โดยลดลง 1.2% ในช่วง 2 สัปดาห์แรกเดือนม.ค.2016 (จากที่คาดการณ์ -1.4%) และเมื่อเทียบ YoY เพิ่มขึ้นเป็น +1.6% (จากที่คาดการณ์ +1.4%)
- ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงต่อ โดยดัชนี DJIA ในระหว่างวันดิ่งลงไปเกือบ 500 จุด แล้วมีแรงซื้อกลับเข้ามาทำให้ดัชนีปิด 15,766.74 จุด ลดลง 249.28 จุด หรือ -1.56% การลดลงมาจากความกังวลกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมัน และวิตกการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทผลิตและสำรวจก๊าซและน้ำมัน หลังรอยัล ดัทช์ เชลล์ เปิดเผยว่ากำไร 4Q15 ลดลงมากถึง 50% ฉุดราคาหุ้นดิ่งลง 5.4% ส่วนหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 1.9% เพราะกำไรทรุดลงแรงจากค่าใช้จ่ายด้านกฎหมาย สำหรับกลุ่มเทคโนโลยี หุ้น IBM ร่วง 4.9% ขณะที่หุ้นซิสโก ซิสเต็ม ดิ่ง 3.2% หุ้นยาฮู อิงค์ ลดลง 3.3% แต่หุ้นทวิตเตอร์ทะยานขึ้น 14% ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดที่ 4,471.69 ลดลง 5.26 จุด หรือ -0.12%
+ สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบก.พ.ปิดเพิ่มขึ้น 17.1 ดอลลาร์ ที่ 1,106.20 ดอลลาร์/ออนซ์ นักลงทุนกลับเข้ามาตลาดทองคำอีกครั้ง เมื่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มแย่กว่าที่เคยคาดไว้ และราคาน้ำมันดิบที่ดิ่งลงต่อเนื่องกระทบเศรษฐกิจประเทศที่พึ่งพิงน้ำมันมากๆ - ราคาน้ำมันดิบร่วงลงต่อ โดยสัญญา WTI และ BRENT ส่งมอบก.พ.และมี.ค.2016 ปิด -1.91 ดอลลาร์ และ -0.88 ดอลลาร์ ปิดที่ 26.55 และ 27.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ตามลำดับ โดยตลาดยังวิตกภาวะอุปทานล้นตลาด และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก (IMF ปรับลดคาดการณ์) ทั้งนี้ API รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 15 ม.ค.พุ่งขึ้น 4.6 ล้านบาร์เรล และมีโอกาสที่อิหร่านจะผลิตน้ำมันสู่ตลาดเพิ่มเร็วๆนี้
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
+ SCB (ราคาปิด 117 บาท ราคาพื้นฐาน 165 บาท) : เป็นแกนนำสนับสนุน TRUE โดยจะออกหนังสือค้ำประกันให้ TRUE ซึ่งเป็นผู้ชนะประมูลใบอนุญาต 4G สองใบ (ค่าใบอนุญาตรวมประมาณ 8 หมื่นล้านบาท) ทั้งนี้ SCB จะปล่อยกู้ร่วมกับธนาคารอีกอย่างน้อย 4 แห่ง แต่ยังไม่ระบุว่าเป็นธนาคารใดบ้าง...เราเห็นว่าการเติบโตของสินเชื่อในปี 2016 ของ SCB จะยังไม่มาก ขณะเดียวกันการกันสำรองฯ ยังคงสูงแต่จะน้อยกว่าปี 2015 ที่มีหนี้เสียของ SSI เข้ามากดดัน ขณะที่รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยขยายตัวได้ เราประเมินว่ากำไรสุทธิปี 2016 มีโอกาสขยายตัวดีจากฐานที่ต่ำในปีก่อน ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำทยอยซื้อสะสมเพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาว โดยราคาปัจจุบัน 117 บาท ซื้อขายที่ Trailing P/BV 1.4 เท่า ซึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 2.5 เท่าในประมาณ 1 ปีที่แล้ว นับว่า Valuation น่าจูงใจ
THAI (ราคาปิด 8.80 บาท, ราคาพื้นฐาน 9 บาท) : เจรจาแอร์บัสเลื่อนรับมอบเครื่องบิน ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายเครื่องบินใหม่ โดยปัจจุบัน THAI มีเครื่องบิน 80 ลำ และของ Thai Smile อีก 15 ลำ และตามสัญญาเดิมจะรับมอบระยะ 3 ปีอีก 14 ลำ โดยรับมอบปี 2016 เท่ากับ 2 ลำ, ปี 2017 อีก 7 ลำ และปี 2018 เท่ากับ 5 ลำ ราคาเครื่องบินแอร์บัส A350 XWB ราคาลำละ 4,700-4,900 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่าจะเลื่อนการรับมอบได้หรือไม่ โดยรวมเห็นว่า THAI ต้องใช้เวลาปรับโครงสร้าง & พลิกฟื้นธุรกิจ จึงแนะนำเพียงถือ
/- PTTEP (ราคาปิด 43 บาท, ราคาพื้นฐาน 50 บาท) : คาด 4Q15 พลิกกลับเป็นกำไรสุทธิ 6.7 พันล้านบาท (จากขาดทุนสุทธิ 46.2 พันล้านบาท) เพราะรายการพิเศษส่วนหักน้อยลง และมีกำไรจากการทำประกันความเสี่ยงราว 2.6 พันล้านบาทด้วย แนวโน้มปี 2016 คาดว่าผลประกอบการ 1Q16 ยังอ่อนแอ แต่ก็มีโอกาสที่จะกระเตื้องขึ้นใน 2H16 จากราคาน้ำมันดิบที่ลดลงมามากจนความเสี่ยงขาลงน่าจะเริ่มจำกัดมากขึ้นแล้ว ฝ่ายวิจัยฯ ปรับลดสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ BRENT ที่ใช้ประมาณการในโมเดลปี 2016 เป็น 35 US$/bbl (เดิมใช้ 55 US$/bbl) และให้ปรับขึ้นปีละ 5 US$/bbl ในช่วงปี 2017-2021 แล้วหลังจากนั้นใช้ราคา 60 US$/bbl ไปตลอด พบว่าราคาหุ้นที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 50 บาท/หุ้น ณ ราคาปัจจุบัน 43 บาท ซื้อขายที่ P/BV ประมาณ 0.5 เท่า ซึ่งต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และฐานะการเงินของ PTTEP ยังแข็งแกร่ง โดยมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนต่ำเพียง 0.04 เท่า แนะนำทยอยซื้อสะสมเพื่อลงทุน โดยเฉพาะจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว
นักกลยุทธ์ & วิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]