WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

CIMBบล.ซีไอเอ็มบี : Thailand Trading Picks(PM)

 

SET Index: แนวรับ 1240 แนวต้าน 1260 และ 1280
  SET Index: 1247.81 ปรับตัวลดลงมาทดสอบจุดต่ำสุดเมื่อวานที่ 1245 จุดหลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1260 จุดในช่วงเปิดตลาด แต่ยังคงมีแรงขายหุ้นออกมาต่อเนื่อง จึงทำให้ SET Index ปรับตัวลดลงเกิดสัญญาณขายทางเทคนิคในระยะสั้น แต่เรายังคงคาดว่า แนวโน้มในระยะสั้น น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1240-1280 จุด เนื่องจากเครื่องมือทางเทคนิคยังคงให้สัญญาณในเชิงบวกต่อเนื่อง และมีแนวรับสำคัญที่ 1220 จุด ถ้าหลุดจะมีโอกาสปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ 1208 และ 1200 จุด
  แนวต้าน : 1255 และ 1260
  แนวรับ : 1247 และ 1244

ADVANC = 155 / 158, KBANK = 162 / 164, PTT = 200 / 206, JAS = 2.94 / 2.98, SCB = 116 / 118

Thai Solar Energy (TSE TB; THB 3.96) – ซื้อ
  แนวต้าน : 4.20 และ 4.30
  แนวรับ : 3.96 และ 3.92
  ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับของกรอบแนวโน้มขาลงแล้วเคลื่อนไหวออกด้านข้าง ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
  MACD ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยในแดนลบ เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มขึ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือแนวโน้มลง RSI ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 50
  แนะนำซื้อ TSE โดยมีแนวรับที่ 3.96 และ 3.92 และมีแนวต้านที่ 4.20 และ 4.30 เป็นจุดขายทำกำไร
  STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 3.86 ลงไป

Srivichaivejvivat (VIH TB; THB 5.80) – ซื้อ
  แนวต้าน : 6.30 และ 6.50
  แนวรับ : 5.80 และ 5.75
  ราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่องค่อนข้างแรงหลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 7.00 แต่เมื่อพิจารณาปริมาณการซื้อขายที่ค่อนข้างเบาบาง จึงทำให้การปรับตัวลดลงมีโอกาสฟื้นตัวในระยะสั้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน
  MACD เคลื่อนไหวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยในแดนบวก เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มขึ้นเคลื่อนไหวเหนือแนวโน้มลง RSI ปรับตัวลดลงทดสอบระดับ 50
  แนะนำซื้อ VIH โดยมีแนวรับที่ 5.80 และ 5.75 และมีแนวต้านที่ 6.30 และ 6.50 เป็นจุดขายทำกำไร
  STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 5.60 ลงไป

SET50 Index Futures
  S50H16 ฟื้นตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 775 ก่อนที่จะปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 760-762 ซึ่งเราแนะนำให้ใช้เป็นจังหวะ Open Long เพื่อคาดหวังการฟื้นตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 780 ในขณะที่เครื่องมือทางเทคนิคยังคงให้สัญญาณในเชิงบวก และมีโอกาสฟื้นตัวกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 780 และ 790


  แนวต้าน : 770 และ 774
  แนวรับ : 764 และ 762
  คำแนะนำ: เราแนะนำให้กลับเข้าไป Open Long ใน S50H16 ที่แนวรับ 760-762 เพื่อคาดหวังการฟื้นตัวกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 780 และ 790
  STOP LOSS สถานะ Long ถ้า S50H16 ปรับตัวลดลงปิดต่ำกว่า 758 ลงไป

ITDH16
  ปรับตัวลดลงต่อเนื่องหลุดระดับ 6.90 ลงไป ทำให้แนวโน้มในระสั้นมีโอกาสปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ 6.70 แต่เรายังคงคาดว่า แนวโน้มหลักยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแนวโน้มขาขึ้น โดยมีเป้าหมายขึ้นไปที่ 8.20-8.30 ดังนั้น การปรับตัวลดลงเข้าใกล้บริเวณ 6.70-6.80
  แนวต้าน : 6.95 และ 7.00
  แนวรับ : 6.80 และ 6.75
  คำแนะนำ: เราแนะนำให้ Open Long ใน ITDH16 ที่แนวรับ 6.80 และ 6.70 เพื่อคาดหวังการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 7.20-7.30
  STOP LOSS สถานะ Long ใน ITDH16 ถ้าปรับตัวดลลงหลุด 6.67 ลงไป

JASH16
  เคลื่อนไหวในกรอบแคบที่บริเวณแนวต้านของกรอบแนวโน้มขาลงในระยะสั้นที่ 3.00-3.04 แต่ยังไม่สามารถทะลุผ่านขึ้นไปได้ ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีความเสี่ยงในการปรับตัวลดลงตามกรอบแนวโน้มขาลง ไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ 2.70 แต่ถ้าสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นไปยืนเหนือระดับ 3.04 ได้ จะเป็นสัญญาณซื้อทางเทคนิค
  แนวต้าน : 3.00 และ 3.04**
  แนวรับ : 2.90 และ 2.84
  คำแนะนำ: เราแนะนำให้รอการทะลุผ่านแนวโน้มขาลงที่ 3.04 ขึ้น จะเป็นจังหวะในการ Open Long และมีแนวต้านถัดไปที่ 3.14 และ 3.20 ถ้ายังไม่ผ่านยังดูเสี่ยงลงทดสอบ 2.90 และ 2.80

Analysts :
Teerasak Tanavarakul +662 657-9231 [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Investment Strategy(AM)

SET...รีบาวน์แต่ไปได้ไม่ไกล
  การปรับลดประมาณการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกและจีน ของ IMF ได้ส่งผลให้เกิดแรงขายหุ้นในประเทศคู่ค้าใหญ่ๆของจีน อย่าง ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี และ สิงคโปร์ โดย IMF ปรับลดประมาณการณ์เศรษฐกิจโลกปีนี้อยู่ที่ 3.4% ลดลงจากประมาณการณ์เดิมที่ 3.6% ส่วนของจีน IMF ปรับลดประมาณการณ์การเติบโตปีนี้อยู่ที่ 6.3% เทียบปี 2015 ที่ 6.9% จากความเสี่ยงที่แศรษฐกิจโลกชะลอตัว การดิ่งลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และการไหลออกของเงินลงทุน


  เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นฮ่องกงดิ่งลงหนัก -749 จุดหรือ -3.82% จากแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศเนื่องจากกังวลเศรษฐกิจจีนชะลอตัวและค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงอ่อนค่าลงมาก โดยนับจากต้นปีที่ค่าเงินฮ่องกงเทียบดอลลาร์อยู่ที่ 7.75 ดอลลาร์ฮ่องกง/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับที่รัฐบาลฮ่องกงมีการกำหนดเพดานอัตราแลกเปลี่ยนไว้ (peg) แต่ในช่วงเดือนที่ผ่านมาได้มีแรงขายสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ฮ่องกงออกมามากจนทำให้ค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วมาที่ระดับ 7.82 ดอลลาร์ฮ่องกง/ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้นักลงทุนมีความกังวลว่าธนาคารกลางฮ่องกงอาจจำเป็นจะต้องขายเงินทุนสำรองที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเพื่อเข้าซื้อดอลลาร์ฮ่องกงเพื่อเป็นการพยุงค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงให้อยู่ในกรอบที่ทางธนาคารกลางกำหนดไว้ อย่างไรก็ตามเช้านี้เราเริ่มเห็นค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยหลังอ่อนค่าลงมามากในช่วง 4-5 วันที่ผ่านมา ดังนั้นเราคาดว่าแรงขายระยะสั้นในตลาดฮ่องกงน่าจะชะลอตัวลงไป ทำให้ตลาดหุ้นในเอเชียน่าจะคลายความกังวลลงได้บ้าง


  ราคาน้ำมันคาดยังคงเป็นประเด็นที่ยังกดดันตลาด แต่หากค่อยๆ อ่อนตัว ถือว่าจะไม่ส่งผลต่อตลาดมากนัก เมื่อเทียบกับการลงแรงๆ แม้แนวโน้มน้ำมันจะยังมีสิทธิปรับตัวลง แต่ในระยะหลังที่ราคาน้ำมันทรงๆ ตัวที่ 28+/- ดอลลาร์ต่อบารเรล์และตลาดรับข่าวเรื่องอิหร่านสามารถส่งออกน้ำมันได้ มุมมองของนักวิเคราะห์น้ำมันเริ่มมีทิศทางในเชิงลบน้อยลง และเริ่มมีประเด็นที่มองว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวลงไม่ลึกมาก อย่างการมองว่าราคาน้ำมันจะเริ่มดีขึ้นในปลายปีนี้จากการปรับสมดุลของอุปสงค์และอุปทาน ปริมาณการผลิตน้ำมันของ Non OPEC ลดลงเกินคาดในปีที่ผ่านมา ปริมาณการส่งออกของอิหร่านจะยังไม่สูงมากและจำนวนความจุของพื้นที่ในการเก็บน้ำมัน ( New storage tanks) มีมากพอที่จะเก็บน้ำมันส่วนเกิน โดยเฉพาะจากจีน เอเชียและสหรัฐ
  เมื่อวานนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติลอยตัวราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) แบบมีเงื่อนไข โดยให้บมจ. ปตท. (PTT) ประกันราคาไม่เกิน 13.50 บาท/กิโลกรัม (กก.) ไปอีก 6 เดือน หลังจากนั้นราคาจะปรับขึ้นลงตามความเป็นจริง โดยให้มีผลตั้งแต่วันนี้ นอกจากนี้ กบง.ยังเห็นชอบโรดแมพก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยเปิดทางให้ผู้ค้ารายอื่นสามารถนำเข้านอกเหนือจากปตท. เพื่อให้มีการแข่งขันเสรีมากขึ้น เพื่อนำไปสู่ต้นทุนจริงที่ชัดเจนมากกว่าที่รัฐบาลกำหนด แม้ปัจจุบันธุรกิจ LPG จะเปิดค้าเสรีบ้างแล้ว แต่ราคายังถูกควบคุมอยู่ซึ่งมาจาก 3 แหล่ง ได้แก่ โรงแยกก๊าซธรรมชาติ ,โรงกลั่น และการนำเข้า โดยตามโรดแมพจะจะยกเลิกมาตรการที่ไม่เอื้ออำนวยให้มีผู้นำเข้ารายที่ 2 เช่น การจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าที่ใช้เวลานานเนื่องจากมีขั้นตอนตรวจสอบเอกสาร 75-90 วัน ,การให้ปตท. ซึ่งเป็นเจ้าของสาธารณูปโภคหลักของการนำเข้า LPG ทั้งในส่วนของท่าเรือ และคลังก๊าซฯ เปิดให้บุคคลที่สามเข้ามาใช้บริการได้ โดยคิดค่าบริการ ,ยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งไปยังคลังภูมิภาค โดยคาดว่าการปลดล็อกข้อจำกัดต่างๆ ในขั้นตอนแรกจะแล้วเสร็จในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค.


  เราประเมินว่าทั้งการลอยตัว NGV และการเปิดเสรีนำเข้า LPG จะไม่กระทบทั้งในด้านบวก/ลบ กับ PTT มาก เนื่องจากต้นทุนราคา NGV ในตลาดปัจจุบันก็ปรับลดลงมา (ตามราคาน้ำมันดิบที่ลดลงแรง) ใกล้กับราคาจำหน่ายของ PTT ทำให้ผลขาดทุนในธุรกิจ NGV ของ PTT ก็ลดลงไปมากแล้ว แต่ในระยะยาวจะดีกับ PTT ที่สามารถจะปรับราคาขายขึ้นให้ไม่มีผลขาดทุนจากธุรกิจนี้ได้ ส่วน LPG ปกติ PTT ก็นำข้ามาจำหน่ายโดยมีรัฐบาลจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างให้อยู่แล้ว ดังนั้นการที่มีคู่แข่งมานำเข้า LPG ก็น่าจะเป็นการลดผลขาดทุนจากภาครัฐที่ต้องจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าที่มีราคาสูงกว่าราคาในประเทศ ดังนั้นไม่น่าจะมีผลกับ PTT แต่หากมีผู้มาเช่าคลังของ PTT ก็น่าจะเพิ่มรายได้ให้กับ PTT แม้ไม่มากก็ตาม
  ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการทยอยประกาศผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารออกมา โดยส่วนใหญ่มีผลประกอบการออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดว่าอย่าง TISCO (ดีกว่าตลาดคาด 4.2%) KKP (42%) LHBANK (12%) SCB (2.6%) BAY (21%) และ TMB (9%) ในขณะที่ TCAP (-5%) และ BBL (-3%) มีผลการดำเนินงานออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด ในขณะที่ KBANK และ KTB คาดว่าจะมีการประกาศในวันนี้ จากผลประกอบการที่ออกมาเรายังคงแนะนำ ซื้อ KBANK และ SCB โดยมีราคาเป้าหมาย 202 บาทและ 144 บาท จากแนวโน้มผลประกอบการที่น่าจะทยอยดีขึ้นในปีนี้ ฐานะการเงินที่แข็งแกร่งและราคาหุ้นที่ปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจเข้าลงทุน


  ประเด็นที่ช่วยหนุนดัชนี SET ที่ผ่านมาคือ ผลการดำเนินงาน Q4/15 ของกลุ่มสถาบันการเงิน และการ Cover short ของนักลงทุนต่างชาติในหุ้นกลุ่มหลักทั้ง ธนาคาร สื่อสารและพลังงานบางตัว โดยประเด็นการแกว่งตัวของน้ำมัน คาดตลาดจะค่อยๆ ซึมทราบและน่าจะมี downside จำกัดจากการที่ราคาน้ำมันลงมาที่ระดับ 26.55 ดอลลาร์/บารเรล์ ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงกับราคาเฉลี่ยที่ตลาดประเมินว่า downside ของราคาน้ำมันปีนี้จะอยู่ที่ 25 ดอลลาร์/บารเรล์ ดังนั้นเรามอง downside ของหุ้นกลุ่มพลังงานจะเริ่มจำกัดแล้ว แต่โอกาสขึ้นแรงก็ยังน้อยเพราะงบไตรมาส 4/58 จะมีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันจำนวนมากมากดดัน ส่วนกลุ่มธนาคารก็คาดว่าจะรีบาวน์ไปไม่ไกลเพราะเศรษฐกิจในประเทศและทั่วโลกยังคงชะลอตัวอยู่ กลุ่ม ICT (ADVANC INTUCH DTAC) น่าจะมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่องได้หลัง JAS TRUE ยังไม่สามารถมาจ่ายเงินค่าประมูล 4G ได้ เราคาดว่าวันนี้ตลาดจะฟื้นตัวตามตลาดหุ้นต่างประเทศแต่การปรับขึ้นยังคงจำกัดอยู่ เราให้แนวรับที่ 1240-1245 และแนวต้าน 1255-1265 จุด

Analysts :
Kiatkong Decho +662 657-9236 [email protected]

บล.ซีไอเอ็มบี : Trend Spotter(PM)

Morning Market Summary...
  SET ช่วงเช้าปิดที่ระดับ 1,247.81 จุด ลดลง 1.17 จุด (-0.09%) มูลค่าการซื้อขาย 19,887.00 ล้านบาท หุ้นไทยเช้านี้ผันผวน ดัชนีเปิดดีดขึ้น แต่มีแรงขายทำกำไรออกมาต่อเนื่องหลุดระดับ 1250 จุด หลังทิศทางของตลาดภูมิภาคปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่

Afternoon Perspective...
  แนวโน้มตลาดบ่าย มีโอกาสปรับตัวลงต่อ คาดว่าจะยังมีแรงขายทำกำไรในหุ้นใหญ่ออกมาต่อเนื่อง หลังตลาดอื่นๆในภูมิภาคปรับตัวลดลง โดยปัจจัยหลักยังคงมาจากความกังวลเรื่อง การลดลงของราคาน้ำมัน ความอ่อนแอของเศรษฐกิจจีน โดยมองแนวรับที่ 1237 จุด แนวต้านที่ 1260 จุด โดยแนะนำเล่นรอบเก็งกำไรในหุ้นขนาดใหญ่ ใช้กลยุทธ์ ขึ้นแรงๆขาย ลงแรงๆซื้อกลับ ยกเว้น กลุ่มพลังงานที่ยังไม่เห็นสัญญาณบวก

Fundamental Picks & Technic (PM) ...
  Thai Solar Energy (TSE TB; THB 3.96) - ซื้อ
  Srivichaivejvivat (VIH TB; THB 5.80) - ซื้อ
  Turnover List preview (Cash Balance) : คาดหลักทรัพย์ที่มีโอกาสจะติด Cash Balance สัปดาห์หน้า : ATP30, ACD*, J*, LPH*, TKN* (* ดูรายละเอียดของเงื่อนไขในบทวิเคราะห์ และกรณีหุ้นแม่ติด ฯ Warrant ทุกตัวของหุ้นนั้นจะติดตามด้วย)

Analysts :
Teerawut Kanniphakul +66(2) 657 9233 - [email protected]/ [email protected]

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!