- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 21 January 2016 17:22
- Hits: 755
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ Domestic Play
ตลาดหุ้นวานนี้:
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ เปิดย่อตัวลง จากแรงกดดันของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ส่งผลต่อ PTT / PTTEP / SCC อีกทั้งตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลงแรงกว่า 3% จากความกังวลต่อเงินทุนต่างชาติไหลออก ยิ่งกดดันบรรยากาศการลงทุนรอบเอเชียและตลาดหุ้นยุโปรในรอบบ่าย กดให้ SET INDEX หลุดแนว 1,250 จุด ปิดที่ 1,248.98 จุด ลบ 17.03 จุด มูลค่าการซื้อขาย 42,510 ล้านบาท
ต่างชาติคงการซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 เล็กน้อย 63 ล้านบาท แต่คงการ Short สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 2 อีก 2,801 สัญญา และขายตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 4 อีก 597 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญวันนี้
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก หลุด US$27/barrel ปิดที่ US$26.55/barrel สำหรับ NYMEX
ทิศทางค่าเงินหยวนใน Offshore และความผันผวนในตลาดหุ้นจีน / ฮั่งเส็ง
ติดตามการประชุม ECB ค่ำนี้ Bloomberg consensus คาดคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.05%
ผลการดำเนินงาน 4Q58 ของ BAY / TMB ออกมาดีกว่าคาด ส่วน BBL ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย
ติดตามการประกาศงบ 4Q58 ของ KTB / KBANK วันนี้
ยอดซื้อสุทธิ YTD ของพอร์ตโบรกเกอร์ลดลงเหลือ 900 ล้านบาท
มุมมองต่อตลาด
ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐานลงแรงวานนี้ จากความไม่แน่นอนของค่าเงินหยวนทั้ง Onshore-Offshore ยิ่งทำให้เงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง กลายเป็นที่มาของการ Panic Sell ในตลาดหุ้นเอเชีย อีกทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่หลุดแนว US$28/barrel ระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย ยิ่งกดดันบรรยากาศการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงมากยิ่งขึ้น
แต่เรากลับมองว่า ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว มีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในบริษัทจดทะเบียนของตลาดหุ้นไทยจำกัด ขณะที่ราคาน้ำมันดิบทรงตัวในระดับต่ำ กลับส่งผลบวกต่อต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนตลาดหุ้นไทยเป็นสำคัญ และล่าสุด SCB/ BAY รายงานกำไรสุทธิใน 4Q58 ออกมาดีกว่าคาดอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายการจากคุณภาพสินทรัพย์ อย่าง NPLs, Coverage Ratio หรือ NIM เราเชื่อว่ากลุ่มธนาคารจะทรงตัวถึงฟื้นตัว มาช่วยปิด Downside risk ของ SET INDEX จากความอ่อนแอของกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะต้นน้ำอย่าง PTTEP / PTT
ดังนั้นสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกจะเริ่มทรงตัวดีขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับ
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก หากสามารถทรงตัวได้ดีขึ้น ไม่ต้องถึงขนาดการดีดตัวกลับ เชื่อว่าหุ้นกลุ่มน้ำมันทั่วโลกจะทรงตัวและฟื้นตัวจาก Technical Rebound ได้เช่นกัน
ธนาคารกลางจีน ออกมาตรการทางการเงินเข้าเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินในระบบการเงินทั้งในจีนและตลาดเงินที่ฮ่องกง รวมถึงการเข้ามาดูแลค่าเงินหยวนให้มีเสถียรภาพมากขึ้น ย่อมช่วยลดแรงกดดันต่อตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง
และเป็นที่น่าสังเกตว่า การรายงานงบ 4Q58 ของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์เป็นส่วนใหญ่ ล่าสุด Goldman Sache ออกมาดีกว่าคาด หากปัจจัยข้างต้น 2 ข้อทรงตัวดีขึ้น เชื่อว่าสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกจะดีขึ้นในภาพรวม
ขณะที่การประชุม ECB วันนี้คาดว่าจะคงนโยบายการเงิน ทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.05% แต่อาจส่งสัญญาณความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกมากขึ้น สอดคล้องกับความเห็นของ IMF ล่าสุด และอาจกลายเป็นปัจจัยที่เฟดเองก็สามารถอ้างอิงและลดจำนวนครั้งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ จากปลายปีที่แล้วตลาดมองไว้ 4 ครั้งในปีนี้ ล่าสุด Bloomberg consensus คาดไว้เพียง 2 ครั้ง และเกิดขึ้นในการประชุมเดือนก.ย. และ ธ.ค. น่าจะทำให้ทิศทางค่าเงินในเอเชียเกิดใหม่ รวมถึงค่าเงินบาทไทยจะอ่อนค่าได้จำกัด และค่อยเป็นค่อยไป กลายเป็นปัจจัยที่สนับสนุนโอกาสเกิดเงินทุนต่างชาติไหลเข้าได้เช่นกัน
ด้วยปัจจัยดังกล่าว เราประเมินกรอบแกว่งของ SET INDEX ระหว่าง 1,240-1,255/60 จุด มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 4.0-4.5 หมื่นล้านบาท/วัน
กลยุทธ์การลงทุน
เราแนะนำให้ "นักลงทุนกลับมาทยอยสะสมหุ้นเป้าหมายอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลัง SET INDEX ปรับฐานหลุดแนว 1,250 จุด โดยมุ่งเน้นหุ้นที่คาดว่าผลการดำเนินงานใน 4Q58 เติบโตเด่น yoy และ/หรือ qoq รวมถึงผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง"
Speculative Buy: KTB / GFPT
Stock Pick of the Day
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ "เก็งกำไร" ได้แก่
1. KTB : ราคาปิด 16.70 บาท ราคาเหมาะสม 19.30 บาท
a) KTB จะรายงานผลประกอบการ 4Q58 ในวันนี้ โดยคาดว่ากำไรสุทธิ 4Q58 จะฟื้นตัวราว +2% qoq เป็น 5.42 พันล้านบาท จากการตั้งสำรองที่ลดลง 25.7% qoq และสินเชื่อขยายตัว +2.1% qoq เนื่องจากได้ประโยชน์จากการปล่อยกู้สินเชื่อ Soft Loan ให้กับภาค SME
b) ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในเกณฑ์ดี และจ่ายเงินปันผลปีละ 1 ครั้ง โดยคาดการณ์เงินปันผลปี 2558 หุ้นละ 0.80 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.8%
c) แนวโน้มผลประกอบการปี 2559 คาดว่ากำไรสุทธิจะกลับมาเติบโต +10% yoy เป็น 3.03 หมื่นล้านบาท จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และ KTB มีจุดเด่นคือการปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการภาครัฐฯในสัดส่วนสูง จึงได้ประโยชน์โดยตรงจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐฯในปี 2559 ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลให้สินเชื่อของ KTB ขยายตัวได้สูงกว่ากลุ่มธนาคาร
d) Valuation ถูกมาก ซื้อขายระดับ PER2559 ที่ 7.6 เท่า และ PBV2559 ที่ 0.8 เท่า ช่วยจำกัด Downside Risk ของราคาหุ้น
2. GFPT : ราคาปิด 11.40 บาท ราคาเหมาะสม 13.50 บาท
a) MBKET คาดว่ากำไรสุทธิ 4Q58 จะออกมาดี เติบโต +4% yoy และ +17% qoq จากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึนเป็น 14.1% จาก 13.6% ใน 4Q58 และ 11.7% ใน 3Q58 เนื่องจากราคาวัตถุดิบลดลงทั้งข้าวโพดและกากถั่วเหลือง
b) ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2559 ขึ้นจากเดิม 5% เนื่องจากคาดว่าราคาเนื้อไก่ในประเทศจะค่อยๆฟื้นตัวจากภาวะ Oversupply ที่ลดลง และจะได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2559 มีทิศทางที่เร่งตัวขึ้นจากปี 2558
c) ดังนั้น คาดว่ากำไรสุทธิปี 2559 จะเติบโต +15.8% yoy เป็น 1,305 ล้านบาท และต่อเนื่อง +9.5% ในปี 2560 เป็น 1,429 ล้านบาท
d) ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 13.50 บาท จากเดิมที่ 10.50 บาท และมี Catalyst ในระยะสั้น คือผลประกอบการ 4Q58 ที่จะกลับมาขยายตัวทั้ง yoy และ qoq
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
ขายสุทธิเป็นวันที่ 5 เร่งขึ้นเป็น US$282 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$186 ล้าน
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติกลับมาเลือกซื้อหุ้นรายตัว แต่ปิดสถานะ Long ใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 2
นักลงทุนต่างชาติคงการซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 เพียง 63 ล้านบาท รวม 2 วันทำการซื้อสุทธิ 997 ล้านบาท เทียบกับ 3 วันทำการก่อนหน้าขายสุทธิ 3,919 ล้านบาท ส่งผลให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิลดลงเล็กน้อย เป็น 10,862 ล้านบาท แม้ว่าสถานการณ์การลงทุนรอบเอเชียเป็นลบก็ตาม
แต่ SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Short สุทธิเป็นวันที่ 2 เร่งขึ้นเป็น 2,801 สัญญา รวม 2 วันทำการ Short สุทธิ 3,482 สัญญา คาดว่าจะเป็นการปิดสถานะ Long ที่เปิดไว้ก่อนหน้าต่อเนื่อง เมื่อ S50H16 ปรับฐานลงหลุดแนว 770 จุด แม้ว่า S50H16 ปิดต่ำกว่า SET50 Index กว้างขึ้นเป็น 12.94 จุด จากวันก่อนหน้า Discount เพียง 11.41 จุดส่งผลให้ QTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Long สุทธิลดลงเหลือ 47,483 สัญญา
และคงการขายสุทธิตลาดตราสารหนี้ เป็นวันที่ 4 แต่ลดลงเหลือ 597 ล้านบาท รวม 4 วันทำการ ขายสุทธิ 3,68ล้านบาท เทียบกับ 2 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 1,682 ล้านบาท เมื่อราคาพันธบัตรไทยเกิด Technial Rebound ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลง 3.86bps จากวันก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 3.20bps ปิดที่ 2.459%
Short-Selling วานนี้
หนาแน่นถึง 1,833 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 777 ล้านบาท
NVDR Movement
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 เน้นกลุ่ม ICT อย่างโดดเด่น
การซื้อขายผ่าน NVDR ซื้อสุทธิอีกเล็กน้อย 268 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 1,468 ล้านบาท ทั้งนี้กลับมาสะสมหุ้นกลุ่ม ICT อย่างโดดเด่น สรุปภาพรวมได้ดังนี้
1. กลุ่ม ICT ถูกกลับมาซื้อสุทธิสูงสุดอีกครั้ง 434 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 213 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มอสังหาฯ ซื้อสุทธิ 82 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 75 ล้านบาท และกลุ่มธนาคาร ซื้อสุทธิ 69 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 709 ล้านบาท
2. ขณะที่กลุ่มขนส่ง ถูกขายสุทธิสูงสุดเป็นวันที่ 2 อีก 154 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 91 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มอาหาร ขายสุทธิ 71 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ - การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาเป็นลบ
อัตราเงินเฟ้อ เดือนธ.ค. หดตัว 0.1% mom สวนทางกับที่ Bloomberg consensus คาด 0.0% mom และเดือนก่อนหน้าที่ 0.0% mom ทั้งนี้ราคาพลังงานยังคงเป็นปัจจัยกดดันอัตราเงินเฟ้อ เดือนธ.ค.ราคาพลังงานลดลง 2.4% mom นำโดยราคาน้ำมันเบนซินลดลง 19.7% yoy
ยอดก่อสร้างบ้านใหม่ เดือนธ.ค. เท่ากับ 1.149 ล้านหลัง ต่ำกว่า Bloomberg consensus คาด 1.20 ล้านหลัง และเดือนก่อนหน้าที่ 1.179 ล้านหลัง โดยยอดก่อสร้างบ้านเดี่ยว และ Multi-family ลดลง 3.3% mom แลละ 1.0% mom ตามลำดับ
ยุโรป
อัตราการว่างงานอังกฤษลดลงต่ำสุดในรอบเกือบ 10 ปี: เดือนพ.ย. เท่ากับ 5.1% ต่ำสุดนับตั้งแต่ 1Q49 โดยผลตอบแทนไม่รวมเงินโบนัส เฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง สิ้นสุดเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.9% yoy เทียบกับเฉลี่ย 3 เดือนก่อนหน้าสิ้นสุดเดือนต.ค.ที่ 2.0% yoy และดีกว่า Bloomberg consensus คาด 1.8% yoy โดยการจ้างงานเพิ่มขึ้น 2.67 แสนตำแหน่ง เป็น 31.4 ล้าน ณ สิ้นเดือนพ.ย.
จีน
ธนาคารกลางจีนเตรียมออกมาตรการใหม่เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องทางการเงิน: แทนที่จะใช้เครื่องมือเดิมคือ การลด RRR สำหรับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ โดยอาจจะมีการปรับเครื่องมือทางการเงิน และไม่ให้กระทบต่อการอ่อนค่าของเงินหยวน
เงินลงทุนทางตรงจากต่างชาติชะลอตัว: เดือนธ.ค.ลดลง 5.8% yoy เป็น 7.7 หมื่นล้านหยวน ขณะที่เงินทุนไหลออกจากการลงทุนที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เพิ่มขึ้น 6.1% yoy การที่ทิศทางค่าเงินหยวนมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ยิ่งส่งผลให้เกิดเงินทุนไหลออกต่อเนื่อง
อดีตที่ปรึกษาธนาคารกลางจีนแนะให้จีนยกเลิกการผูกค่าเงินกับดอลลาร์สหรัฐฯ: นาย Li Daokui อดีตที่ปรึกษาธนาคารกลางจีน ได้เสนอให้ปล่อยเงินหยวนเคลื่อนไหวเป็นอิสระจากดอลลาร์สหรัฐฯ และเป็นการปฎิรูปอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริง โดยแนะนำให้ธนาคารกลางจีนส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน พร้อมกำหนดระดับที่ควรจะเป็นของค่าเงินหยวนเทียบกับตะกร้าเงินในแต่ละวัน มากกว่าการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่ผูกติดกับดอลลาร์สหรัฐฯ
เอเชียแปซิฟิก
อัตราเงินเฟ้อมาเลเซียเท่ากับคาด: เพิ่มขึ้น 2.7% yoy เท่ากับที่ Bloomberg Consensus ประเมิน และทรงตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัว 2.6% yoy ทั้งนี้ราคาอาหารเพิ่มขึ้น 4.6% yoy ขณะที่ราคาขนส่งปรับตัวลงต่อเนื่องอีก -6.2% yoy
คำสั่งซื้อภาคส่งออกไต้หวันหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2552: ลดลง 12.3% yoy ในเดือน ธ.ค. จากเดือนก่อนหน้าที่หดตัว 6.3% yoy และเป็นการหดตัวแรงกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดที่ -7.0% yoy ทำให้ในปี 2558 ที่ผ่านมาหดตัว 4.4% ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2552 เป็นผลจากอุปสงค์ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ชะลอตัว รวมถึงราคาน้ำมันที่ลดลง
ไทย
รองนายกฯ ตั้งเป้าส่งออกโต 5%: นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการมอบนโยบายแก่ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ(ทูตพาณิชย์) โดยยืนยันที่จะกำหนดเป้าหมายการส่งออกของไทยในปีนี้ไว้ที่ 5% แม้จะยอมรับว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปีนี้อาจจะยังเติบโตได้ไม่ดีนัก ทำให้คู่ค้ากำลังซื้ออ่อนลง โดยล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลงเหลือโต 3.4%
กระทรวงคมนาคม เดินหน้ารถไฟไทย - จีน: นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม ยืนยันว่าจะยังเดินหน้าโครงการความร่วมมือรถไฟไทย-จีน พัฒนารถไฟขนาดรางมาตรฐาน 1.435 เมตร เส้นทางหนองคาย-นครราชสีมา-แก่งคอย-ท่าเรือมาบตาพุด ระยะทาง 845.27 กิโลเมตร และเส้นทาง แก่งคอย-กรุงเทพฯ ระยะทาง 118.14 กิโลเมตร ตามเป้าหมายเดิม คือตอกเสาเข็มในเดือนพ.ค.นี้ โดยนายหวังหย่ง รัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้หารือกับ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และยืนยันเรื่องอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2% รวมทั้ง นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะช่วยเจรจารูปแบบการลงทุนเพื่อให้จีนลงทุนเพิ่มจากไทย 40 จีน 60 เป็นไทย 30 จีน 70 เพื่อให้จีนรับความเสี่ยงเพิ่มและครอบคลุมไปถึงการก่อสร้างจากเดิมที่ครอบคุลมแค่การเดินรถ
Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440
Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham Assistant Analyst 662-6586300 x 1530