- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 18 January 2016 16:33
- Hits: 786
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ Oil Crisis
ตลาดหุ้นวานนี้:
ตลาดหุ้นไทยวันศุกร์ปรับตัวลงหลุดแนว 1,260 จุด เนื่องด้วยเป็นวันศุกร์ และบรรยากาศรอบเอเชียถูกกดดันจากความกังวลต่อเศรษฐกิจจีน ตลาดหุ้นจีนปิดหลุด 3,000 จุดอีกครั้ง ราคาน้ำมันดิบ NYMEX หลุด US$30 ระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย ยิ่งกดดันบรรยากาศโดยรวมเป็นลบ ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX ลบเป็นวันที่ 2 อีก 17.44 จุด มาอยู่ที่ 1,245.85 จุด มูลค่าการซื้อขาย 46,226 ล้านบาท
ต่างชาติคงการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 อีก 1,075 ล้านบาท Short สุทธิใน SET50 Index Futures อีก 2,375 สัญญา และขายสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันรกในรอบ 3 วันทำการ เพียง 36 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญวันนี้
ติดตามการชำระเงินงวดแรก และ Bank Guarantee ของ JAS และ TRUE ว่าจะเป็นวันนี้หรือไม่
อิหร่านได้รับการพิจารณายกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
ค่าเงินหยวนกลางจากธนาคารกลางจีนวันนี้ 6.5590 หยวน/ดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.07% จากวันก่อนที่ 6.5637 หยวน/ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นการแข็งขึ้นมากสุดนับตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค.
มุมมองต่อตลาด
เราประเมินทิศทาง SET INDEX วันนี้จะปรับฐานลงต่อเป็นวันที่ 3 สู่แนว 1,220 จุด +/- กดดันด้วย PTT / PTTEP หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกหลุดแนว US$30/barrel และ UN ได้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจแก่ อิหร่าน ทำให้อิหร่านจะกลับมาส่งออกน้ำมันดิบได้อีกครั้งในเร็วๆ นี้ ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังมีความเปราะบาง ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่า ยิ่งทำให้บรรยากาศการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเป็นไปได้อย่างจำกัดมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่า เงินทุนที่ไหลออกจาก PTT / PTTEP และอาจรวมถึง SCC จะกลับเข้าสู่ Domestic Play อย่างกลุ่มธนาคาร / ICT / หรือกลุ่มโรงกลั่น เพราะมีจุดเด่นในแง่ของเงินปันผล และ Valuation ที่ต่ำ ขณะที่ไม่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ตกต่ำ
รวมถึงกลุ่มท่องเที่ยว / สายการบิน / สนามบิน ที่ได้ประโยชน์ทางตรงและทางอ้อมจากราคาน้ำมันดิบที่ตกต่ำ อีกทั้งผลการดำเนินงานของกลุ่มเหล่านี้เติบโตโดดเด่น จากผลของฤดูกาลอีกเช่นกัน
การปรับฐานของ SET INDEX ในรอบนี้เรายังให้น้ำหนักกับแนวรับ 1,200-1,205 จุด ซึ่งเป็นบริเวณเดียวกับช่วงต้นปี 2557 ที่ผ่านมา บวกกับสัญญาณทางเทคนิค และ Valuation ของภาพรวม SET INDEX ผ่าน 1Yr Forward PER เฉลี่ย 5 ปีเท่ากับ 12.25x เทียบกับ EPS ของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ 100-101 บาท ระดับดังกล่าวถือว่าต่ำกว่า -1SD แล้วเช่นกัน
กลยุทธ์การลงทุน
เราแนะนำให้ "นักลงทุนทยอยสะสมหุ้นเป้าหมายต่อเนื่องในวันนี้ เพื่อเก็งกำไรต่อปัจจัยสำคัญในสัปดาห์หน้า"
Accumulative Buy: ADVANC
Speculative Buy: AAV
Stock Pick of the Day
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ "ทยอยสะสม" ได้แก่
1. ADVANC : ราคาปิด 144.50 บาท ราคาเหมาะสม 220.00 บาท
a) MBKET คาดว่าหุ้นกลุ่มสื่อสารทีมีลักษณะ Defensive และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงจะ Outperform ตลาดในวันนี้ จากภาวะการลงทุนทั่วโลกที่ผันผวนจากผลกระทบของราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลง
b) คาดกำไรสุทธิ 4Q58 ที่ 9.9 พันล้านบาท +8.9% yoy และ +15.3% qoq จากอานิสงค์ของค่าเสื่อมราคาที่ลดลง -23% yoy จากค่าเสื่อมราคา 2G ที่หมดไปหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทานตั้งแต่ ก.ย.2558 ที่ผ่านมา และ Regulatory Cost ที่ลดลง -23% yoy
c) คาดการณ์เงินปันผล 2H58 หุ้นละ 6.00 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 4.1%
d) มีปัจจัยบวกรออยู่ โดยคาดว่าจะบรรลุข้อตกกับ TOT เพื่อเช่าคลื่นความถี่ 2100MHz และเสาโทรคมนาคมได้ใน 1Q59 เพื่อนำมาเพิ่มคุณภาพของการให้บริการในระบบ 4G และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น
e) Valuation ไม่แพง ซื้อขายระดับ PER2559 ที่ 12.3 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลปี 2559 สูงถึง 8.1%
และ "ซื้อเก็งกำไร" ได้แก่
2. AAV : ราคาปิด 6.00 บาท ราคาเหมาะสม 6.50 บาท
a) ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงหลุดต่ำกว่า US$30.00/barrel ได้แก่ NYMEX -5.7% dod เหลือ US$29.42/barrel และ BRENT -10.0% dod เหลือ US$27.79/barrel ทำระดับต่ำสุดในรอบ 12 ปี คาดว่าจะเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มสายการบิน เนื่องจากต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นต้นทุนหลักในการดำเนินธุรกิจสายการบิน ซึ่งแทบทุกสายการบิน ณ ปัจจุบัน ไม่มีการซื้อสัญญาล่วงหน้าน้ำมัน เพื่อเปิดรับประโยชน์อย่างเต็มที่กับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่อยู่ในช่วงขาลง
b) เราประเมินว่าผลการดำเนินงานของ AAV ใน 4Q58 เติบโต yoy และ qoq อย่างโดดเด่น จากผลของฤดูกาล และต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินที่ลดลง 51.8% QTD
c) การเปิดอาคาร 2 ของสนามบินดอนเมือง ย่อมเป็นบวกต่อธุรกิจโลว์คอร์สแอร์ไลน์ อย่าง AAV จะสามารถเพิ่มปริมาณการรองรับเที่ยวบิน และ จำนวนผู้โดยสารได้มากขึ้น ทำให้แนวโน้มผลประกอบการปี 2559 เติบโตเด่น นอกเหนือจากอานิสงค์ของต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลง และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะเป็นบวกต่อรายได้การให้บริการเส้นทางบินในประเทศ และส่งผลให้ Passenger Yild ปรับตัวขึ้น ดังนั้น คาดว่ากำไรปกติปี 2559 จะเติบโต +29.7% yoy เป็น 2,244.6 ล้านบาทในปี 2559
d) Valuation มีความน่าสนใจ ซื้อขายระดับ PER16 เพียง 13.1 เท่า เทียบกับ BA ที่ 21.9 เท่า ส่วน NOK / THAI แม้ว่าจะมี valuation ที่ถูกกว่า AAV แต่ในแง่ของภาพธุรกิจขาดทิศทางที่ชัดเจน ส่งผลต่อแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจยังเป็นสิ่งที่เรากังวล
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
ต่างชาติขายสุทธิวันที่ 2 ติดต่อกัน US$506 จากวันก่อนหน้าที่ขายสุทธิ US$509 ล้าน
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติทยอยขายทำกำไรบางส่วน
นักลงทุนต่างชาติคงการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 อีก 1,075 ล้านบาท รวม 2 วันทำการ ขายสุทธิ 1,767 ล้านบาท ส่งผลให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิขยับขึ้นเป็น 9,707 ล้านบาท
ด้านSET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Short สุทธิเป็นวันที่ 2 อีก 2,375 สัญญา รวม 2 วันทำการ Short สุทธิ 11,257 สัญญา คาดว่าจะเป็นการทยอยปิดสถานะ Long ต่อเนื่อง เมื่อ SET50 index ยังคงปรับตัวลงและต่ำกว่า 800 จุด กดดันให้ S50H16 ปิดต่ำกว่า SET50 Index กว้างขึ้นเป็นวันที่ 2 มากถึง 14.46 จุด จากวันก่อนหน้า Discount เท่ากับ 11.51 จุด ทำให้ QTD นักลงทุนต่างชาติยังคงสถานะเป็น Long สุทธิ แต่ลดลงเป็น 42,836 สัญญา
และต่างชาติกลับมาขายสุทธิตลาดตราสารหนี้ เป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ แต่ก็เพียง 36 ล้านบาท เทียบกับ 2 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 1,682 ล้านบาท เมื่อราคาพันธบัตรไทยดีดตัวขึ้นแรงเป็นวันที่ 3 ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลงอีก 2.74bps จากวันก่อนหน้าลดลงสูงถึง 4.38bps ปิดที่ 2.509%
Short-Selling วานนี้
ขยับขึ้นเป็น 1,458 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 992 ล้านบาท
NVDR Movement
NVDR ยังคงซื้อสุทธิเป็นวันที่ 6 กลับมาเลือกลงทุน TOP อย่างโดดเด่น
การซื้อขายผ่าน NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 6 แต่ลดลงเหลือ 493 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 984 ล้านบาท รวม 6 วันทำการซื้อสุทธิ 5,444 ล้านบาท โดยเน้นสะสมหุ้น TOP อย่างหนาแน่น สรุปภาพรวมได้ดังนี้
1. กลุ่มพลังงานถูกซื้อสุทธิสูงสุด 267 ล้านบาท เท่ากับวันก่อนหน้า ตามมาด้วยกลุ่ม ICT ซื้อสุทธิ 190 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 269 ล้านบาท กลุ่มไฟแนนซ์ซื้อสุทธิ 165 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 46 ล้านบาท
2. ส่วนกลุ่มธนาคารกลับถูกขายสุทธิสูงสุด 76 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 218 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ขายสุทธิ 62 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ - การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาเป็นลบ
ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค.หดตัว 0.1% mom สวนทางกับที่ Bloomberg consensus คาด 0.0% mom และเดือนก่อนหน้าที่ 0.4% mom เนื่องจากยอดขายยานพาหนะ และราคาน้ำมันเบนซินที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ดัชนี Empire State ภาคการผลิตเดือน ม.ค. -19.37 จุด หดตัวแรงกว่าที่ Bloomberg consensus คาด -4.00 จุด และเดือนก่อนหน้าที่ -4.59 จุด เป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2552 คำสั่งซื้อใหม่ หดตัว 23.54 จุด และเป็นการหดตัวเดือนที่ 8
ผลผลิตภาคอุตฯ เดือนธ.ค. หดตัว 0.4% mom มากกว่าที่ Bloomberg consensus คาด -0.2% mom แต่ฟื้นตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ -0.9% mom การผลิตเหมืองแร่และพลังงานหดตัว 0.8% mom และหดตัวเป็นเดือนที่ 4
มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐิจอิหร่านได้ถูกยกเลิก: หลังอิหร่านได้ปฎิบัติตามเงื่อนไขของนานาชาติกรณีอาวุธนิวเคลียร์ และ UN ได้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของอิหร่าน อย่างเป็นทางการ
ยุโรป
ไม่มี
จีน
ยอดสินเชื่อใหม่เดือนธ.ค.ชะลอตัว: ยอดสินเชื่อสกุลเงินหยวนใหม่เพิ่มขึ้น 5.978 แสนล้านหยวนในเดือนธ.ค. ต่ำกว่าเดือนพ.ย.ที่ 7.089 แสนล้านหยวน ส่งผลให้ยอดสินเชื่อโดยรวม ณ สิ้นเดือนธ.ค. เท่ากับ 1.82 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นเดือนพ.ย.ที่ 1.02 ล้านล้านหยวน ส่วนที่เพิ่มขึ้นมาจากยอดสินเชื่อที่ไม่ใช่จากธนาคารพาณิชย์ รวมถึงการให้สินเชื่อด้านตลาดทุนและการออกขายหุ้นกู้ของ Shadow banking
เอเชียแปซิฟิก
ยอดขายบ้านในสิงคโปร์ลดลงเกือบ 50% mom: เดือนธ.ค.ยอดขายลดลง 49% mom หลังทางการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ผู้ประกอบการขายที่อยู่ได้ 384 ยูนิต เทียบกับ 759 ยูนิตในเดือนพ.ย. ส่งผลให้ยอดขายทั้งปี 2558 เท่ากับ 7,528 ยูนิต เทียบกับปีก่อนหน้าที่ 7,316 ยูนิต
ส่งออกสิงคโปร์หดตัวแรงกว่าคาด: ลดลง 7.2% yoy ในเดือน ธ.ค. ต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่หดตัว 3.4% yoy เทียบกับ Bloomberg Consensus คาดหดตัว 4.4% yoy แม้ว่ายอดส่งออกอิเล็กทรอนิกส์หดตัว 0.3% yoy ดีกว่าที่ตลาดคาด 5.9% yoy ก็ตาม
ส่วนยอดค้าปลีกของสิงคโปร์กลับขยายตัวดีกว่าคาด: เพิ่มขึ้น 4.7% yoy สำหรับเดือน พ.ย. จากเดือนก่อนที่ขยายตัว 2.6% yoy เทียบกับ Bloomberg Consensus คาด +3.4% yoy อย่างไรก็ตามหากไม่รวมยอดขายรถยนต์หดตัว 2.0% yoy
การเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจ: นาง Tsia-wen พรรคฝ่ายค้านได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ด้วย เสียง 56% เหนือนาย Eric Chu ที่ได้คะแนนเสียง 31% ด้วยนโยบายไม่เชื่อมโยงกับจีน ทำให้พรรค Democratic Progressive Party ได้ครองเสียง 68 ที่นั่ง จากทั้งหมด 113 ที่นั่ง
อินเดียเสนอมาตรการช่วยเหลือผู้เริ่มต้นธุรกิจ: อินเดียเตรียมจัดตั้งกองทุนขนาด 1.0 แสนล้านรูปี หรือ US$1.5 พันล้าน เพื่อเป็นเงินกองทุนสำหรับร่วมลงทุนในธุรกิจเริ่มต้น (Start-up) พร้อมกับเตรียมผ่อนคลายกฎในการทำธุรกิจ เพื่อนำไปสู่การจ้างงาน 1.3 พันล้านตำแหน่ง โดย Startups จะได้รับการยกเว้นทางภาษีในช่วง 3 ปีแรก, การจดลิขสิทธิ์ที่เร็วขึ้น, การให้โปรแกรมค้ำประกันสินเชื่อ และการผ่อนคลายหลักเกณฑ์ในการยุติกิจการให้ธุรกิจดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ โดยกองทุนดังกล่าวจะมีการทยอยจัดทำตลอด 4 ปีจากนี้ไป
ไทย
ไม่มี
Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440
Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham Assistant Analyst 662-6586300 x 1530