- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 13 January 2016 17:28
- Hits: 4520
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'รีบาวด์ต่อ'
Stock Picks-Jan 2016 : Fundamental : ANAN, AOT, BTSGIF, CPN, GL และ Dark Horse เป็น CK
Fundamental Pick -Today: SCB ดูรายละเอียดด้านใน
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, DTAC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, QTC, SNC, TCAP, TMT, BTSGIF, DIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : BJC 40%, TTCL 35%, TDEX 29%, SPALI 23%, TICON 20%
Technical View ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ
Support Resistance Stop Loss
SET ซื้อค่าบวก 1260-1270,1280 หลุด 1240
SET50 ซื้อค่าบวก 800,810-820 หลุด 775
Technical Picks- Today : SCB, AMATAV, GL, PTG, COM7, CBG, BEM, BH
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยรีบาวด์ขึ้นราว 1.7% มาปิดที่ 1255.30 จุด นำโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์, สื่อสาร, ท่องเที่ยว นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 2.3 พันล้านบาท ต่างชาติและพอร์ตบล.ซื้อสุทธิ 379 และ 570 ล้านบาท ตามลำดับ รายย่อยขายสุทธิ
Sentiment ตลาดในระยะสั้นดีขึ้น หลังธนาคารกลางจีนเข้าดูแลค่าเงินหยวนในตลาดออฟชอร์ ดัชนีตลาดหุ้นยุโรปและสหรัฐเด้งขึ้นหลังร่วงแรงมาอย่างต่อเนื่องใน 5-6 วันทำการที่ผ่านมา ขณะที่ SET Index ปรับขึ้นไปใกล้ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 วันที่ 1259 จุดก่อนและมีโอกาสขยับขึ้นต่อในระยะสั้น โดยปัจจัยหนุน คือ Valuation ของหุ้นที่เริ่มจูงใจ เช่น P/BV ของกลุ่มแบงค์ที่ลดลงเหลือ 1.1 เท่า จากเดือนก.พ.ปี 2015 ที่ 1.9 เท่า ขณะที่ธนาคารไม่ได้ขาดทุนเพียงแต่กำไรเติบโตจำกัด หุ้น Top Pick ทางพื้นฐานคือ KBANK ส่วนหุ้นพื้นฐานดีเทคนิคเด่นเป็น SCB นอกจากนั้นยังมีการเก็งกำไรผลประกอบการ 4Q15 และแนวโน้มปี 2016 ของหุ้นใน Real Sector ซึ่งขณะนี้นักวิเคราะห์กำลังทำ Preview กัน นอกจากนั้นมีหลายบริษัทที่ประกาศซื้อหุ้นคืนหลังราคาหุ้นร่วงแรง ล่าสุดเป็น BJCHI (ซื้อวงเงินไม่เกิน 250 ล้านบาท หรือไม่เกิน 2.5% ของทุนเรียกชำระแล้ว) ซื้อในช่วง 27 ม.ค.-26 ก.ค.2016) กลยุทธ์ ยังเป็นการเลือกซื้อเก็งกำไร/สะสมเพื่อลงทุนยาวเป็นรายบริษัท หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น SCB
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมเป็นบวกเล็กๆ มีโอกาสปรับขึ้นต่อจากภาวะ Oversold+Divergence แนวต้านระยะสั้น 1260-1270 หรือ 1280 จุด เน้นซื้อตามด้วยค่าบวก ค่าลบดูไม่ดี หลุด 1240 จุดให้ลดพอร์ตตาม/ตัดขายขาดทุน
ส่วนการ SCAN หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น เราพบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น TOP, COM7, GUNKUL ส่วนหุ้นที่หาจังหวะขายทำกำไร เป็น AMATAV, CHG, TIPCO, BEM
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ จีน : ธนาคารกลางจีนได้เข้าแทรกแซงตลาดออฟชอร์ ด้วยการเข้าซื้อสกุลเงินหยวนในตลาดฮ่องกง ส่งผลให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ฮ่องกง โดยมีเป้าหมายสกัดการเก็งกำไรจากเงินหยวนที่อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว และลดความเหลื่อมล้ำระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนออนชอร์และออฟชอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่จะทำให้เงินหยวนสามารถรวมเข้าในตะกร้าสกุลเงิน SDR ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
-/ จีน : ยอดขายรถยนต์ปี 2015 ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 3 ปี โดย +4.7%YoY สู่ 24.59 ล้านคัน ถือเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ลดลงจาก +6.9% ในปี 2014 และ +13.9% ในปี 2013
สหรัฐ : จับตาถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อไปของปี 2016 หลังปรับขึ้นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปีไปเมื่อเดือนธ.ค.2015 ทั้งนี้เมื่อวันก่อนนายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟดสาขาดัลลัส ได้ส่งสัญญาณว่าอาจจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปี 2016 เมื่อพิจารณาจากความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
- รายได้กลุ่มเหมืองแร่ร่วงใน 4Q15 อัลโค อิงค์ บริษัทเหมืองรายใหญ่ระดับโลกเปิดเผยรายได้ 4Q15 ลดลง 18% สู่ระดับ 5.25 พันล้านดอลลาร์ โดยหลักมาจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลง
+/ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นแต่บวกน้อยลงในช่วงท้าย ทั้งนี้ในระหว่างการซื้อขายดัชนีบวกขึ้นไปสูงสุดในวัน 190 กว่าจุดจากข่าวธนาคารกลางจีนเข้าแทรกแซงตลาดออฟชอร์เพื่อรักษาเสถียรภาพเงินหยวน แต่ดัชนีอ่อนลงในช่วงท้ายเพราะนักลงทุนยังไม่มั่นใจกับทิศทางเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในระยะต่อไป ปิดตลาดดัชนีดาวโจนส์ +117.65 จุด หรือ +0.72% ปิดที่ 16,516.22 จุด
สมาชิกกลุ่มโอเปกหลายรายเรียกร้องให้จัดประชุมฉุกเฉินเพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันตกต่ำ โดยขณะนี้นักวิเคราะห์จากหลายสำนัก เช่น บาร์เคลย์, แมคควารี, แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์, สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด และโซซิเอเต้ เจเนอราล พากันปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันในปี 2016 โดยนักวิเคราะห์จากสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันมีโอกาสดิ่งลงแตะระดับ 10 ดอลลาร์/บาร์เรล และก่อนหน้านี้โกลด์แมน แซคส์ระบุว่า ราคาน้ำมันมีโอกาสดิ่งลงสู่ 20 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำหรับรายงานคาดการณ์ราคาน้ำมันล่าสุดของ EIA ซึ่งได้มีการเปิดเผยเมื่อวานนี้ ทาง EIA คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบ BRENT เฉลี่ยปี 2016 จะอยู่ที่ 40 ดอลลาร์/บาร์เรล และปี 2017 เท่ากับ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ WTI เฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 38 ดอลลาร์/บาร์เรล และในปี 2017 เท่ากับ 37 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ราคาน้ำมันดิบร่วงต่อ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.ลดลง 97 เซนต์ ปิดที่ 30.44 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ปรับลง 69 เซนต์ ปิดที่ 30.86 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ราคาทองคำลดลง สัญญาตลาด COMEX ส่งมอบก.พ.2016 ลดลง 11 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,085.20 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนกลับเข้าไปช้อนซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรหลังราคาร่วงแรงมาหลายวันทำการ ผนวกกับมีการเก็งกำไรผลประกอบการ 4Q15 ที่กำลังทยอยประกาศออกมาด้วย
การเมืองต่างประเทศ : ทางการอิหร่านตกลงจะปล่อยตัวทหารเรือสหรัฐ 10 คน พร้อมเรือ 2 ลำ ที่อิหร่านอ้างว่าล่วงล้ำน่านน้ำ ทั้งนี้มีรายงานว่าทหารและเรือดังกล่าวอยู่ระหว่างการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจระหว่างคูเวตและบาห์เรน แล้วเกิดความขัดข้องทางเทคนิค จึงลอยเข้าสู่น่านน้ำที่ถูกอ้างว่าเป็นของอิหร่าน ทางนายจอห์น แคร์รี่ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐจึงได้เจรจาทางโทรศัพท์และทางการอิหร่านตกลงจะปล่อยตัวทหารเรือสหรัฐเข้าสู่น่านน้ำนานาชาติในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : มีความมั่นคงและ P/BV ต่ำ ปัจจุบันกลุ่มธนาคารมี P/BV อยู่ที่ 1.1 เท่า ลดลงจากระดับสูงสุดของรอบนี้เมื่อก.พ.2015 ที่ 1.9 เท่าอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ผลประกอบการธนาคารไม่ได้ขาดทุน เพียงแต่การเติบโตของกำไรในปี 2016 ยังจำกัดจากการเติบโตของสินเชื่อที่ไม่มากและตั้งสำรองค่าเผื่อฯสูงต่อในยามที่เศรษฐกิจเพิ่งเริ่มฟื้นตัว แนะนำทยอยซื้อสะสมเพื่อการลงทุนระยะกลาง-ยาว โดยหุ้น Top Pick ทางพื้นฐานเป็น KBANK เพราะโครงสร้างรายได้และพอร์ตสินเชื่อกระจายตัวดี หุ้นพื้นฐานดีและเทคนิคเด่นเป็น SCB (แนวต้าน 120-125, 130 บาท)
-/ JAS & TRUE จะจ่ายค่าใบอนุญาต 4G งวดแรกไม่เกิน 18 ม.ค.นี้ โดยจ่ายรายละ 8,040 ล้านบาทพร้อมกับวางแบงค์การันตี ส่วนการขอขยายระยะเวลาเยียวยาลูกค้าที่ยังคงค้างอยู่ใน 2G ราว 10 ล้านรายของ ADVANC ไม่มีวาระนี้เข้าพิจารณาในบอร์ดกทค.เมื่อวานนี้ (นสพ.ข่าวหุ้น)
ตลาดกำลังจับตาว่าผู้ประกอบการรายใหม่ คือ JAS จะใช้กลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อดึงลูกค้าเข้ามาอย่างไร ซึ่งเราคาดการณ์ว่าน่าจะเข้มข้นอย่างมากและกดดันให้อุตสาหกรรมมีการแข่งขันด้านราคารุนแรง ส่งผลกระทบต่อรายได้และมาร์จิ้นของผู้ประกอบการ 3 รายเดิม คือ ADVANC, DTAC และ TRUE ที่ต้องการรักษาส่วนแบ่งการตลาดเอาไว้ให้ได้มากที่สุดอย่างแน่นอน แต่ก็เป็นเรื่องดีกับผู้บริโภคที่จะได้ซื้อโทรศัพท์และจ่ายค่าบริการในราคาที่ต่ำลง เราแนะนำถือ ADVANC & INTUCH เพราะเชื่อว่าจะยังสามารถจ่ายปันผลได้สูงในปี 2016 คาดการณ์ Yield ณ ราคาปัจจุบันไว้ที่ประมาณ 8% โดยผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองบริษัทนี้กล่าวว่าบริษัทยังคงนโยบายจ่ายปันผล 100% ของกำไรสุทธิและขณะนี้ไม่มีแผนซื้อหุ้นคืน
PS & LPN : สนใจรับงานก่อสร้างบ้านผู้มีรายได้ต่ำ ซึ่งทางรัฐบาลมีแผนจะทำโครงการนี้จำนวน 2.7 ล้านยูนิตภายใน 10 ปี โดยปี 2016 เริ่มที่ดินแดงและลาดพร้าวก่อน ราคาเฉลี่ย 6-7 แสนบาท/ยูนิต โดยมีธนาคารอาคารสงเคราะห์เป็นผู้สนับสนุนด้านโปรเจคไฟแนนซ์...เราคาดว่าโครงการนี้จะมีอัตรากำไรไม่สูง แต่มีข้อดีคือเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีมูลค่าสูง และมีความต่อเนื่องในระยะยาว อย่างไรก็ดี ต้องติดตามกันต่อว่าในที่สุดแล้วทั้งสองบริษัทนี้จะได้ทำงานโครงการนี้หรือไม่
เมื่อเปรียบเทียบ EPS Growth ของ PS & LPN ปี 2016 พบว่า LPN จะดีกว่าเล็กน้อยที่ +8% ส่วน PS +6% ด้าน EV/EBITDA ใกล้กันที่ 8-9 เท่า สัดส่วนหนี้สินสุทธิ/ทุน (Net Gearing) ของ LPN อยู่ที่ 0.5 เท่า ส่วน PS 0.7 เท่า ถือว่าฐานะการเงินดีทั้งสองบริษัท ด้านการจ่ายเงินปันผล ทาง LPN จะโดดเด่นกว่า โดยจ่ายปันผลราว 50% ของกำไรสุทธิ ขณะที่ PS จ่ายที่ 30% ของกำไรสุทธิ ทำให้ Dividend Yield ปี 2015-2016 ของ LPN จะสูงกว่า โดยเราคาดการณ์ไว้ที่ 5.8% และ 6.3% ส่วนของ PS ประเมินไว้ที่ 3.8% และ 4.0% ตามลำดับ (คำนวณจากราคาปิดวันที่ 12 ม.ค.2016) ฝ่ายวิจัยฯ DBSV ให้ราคาพื้นฐาน LPN ไว้ที่ 18.50 บาท และ PS เท่ากับ 30 บาท
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]