- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 12 January 2016 17:26
- Hits: 1887
บล.ทรีนีตี้ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
Today Selection >> KCE, CK, SVI, TASCO
Stock S R Comment
CK 27.75 29.00 อู้ฟู่รับอานิสงส์ BEM
KCE 68.00 70.00 คาดปี 2559 โรงงานใหม่เดินเครื่องเต็ม 100 รับอานิสงส์บาทอ่อน
SVI 5.30 5.55 อานิสงส์บาทอ่อน
TASCO 38.75 42.25 ครม.เบิกงบฯ กลางปี 59 วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท ซ่อม-สร้างถนน
Revisit our key tail risks of 2016
ในบทวิเคราะห์แนวโน้มการลงทุนปี 2559 ที่เราเผยแพร่เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เราได้วิเคราะห์ถึง 3 ปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็น Tail risk สำคัญในปีนี้ ซึ่งล่าสุดมีพัฒนาการดังต่อไปนี้
1) Yuan devaluation : เกิดขึ้นแล้ว มองธนาคารกลางจีนมีโอกาสที่จะปรับลดค่ากลางเงินหยวนต่อไป เนื่องจากค่าเงินหยวนยังคงอยู่ในระดับสูงตามมิติของ Effective exchange rate ซึ่งน่าจะยังคงเป็นปัจจัยกดดันการบริโภคและการนำเข้าของจีน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
2) การยกเลิกการตรึงค่าเงินของซาอุดิอาระเบีย : ล่าสุดมีโอกาสเกิดขึ้น 50% แล้ว หลังจากที่แนวโน้มการจับมือกันลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มสมาชิก OPEC มีความเป็นไปได้ยากมากขึ้น หากเกิดขึ้นจริงมองราคาน้ำมันในรูปสกุลเงิน USD จะปรับลดลงอีก
3) Fed ahead of the curve : ยังไม่เกิดขึ้น และมีโอกาสน้อยลงตามลำดับ ถึงแม้ตัวเลขการจ้างงานล่าสุดจะออกมาดีก็ตาม เนื่องจากในสภาวะที่ปัจจัยภายนอกผันผวนประกอบกับแรงกดดันเงินเฟ้อที่ต่ำจากราคาน้ำมัน ทำให้เรามองว่า Fed ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ มองปัจจัย Fed น่าจะเป็นปัจจัยที่สร้าง Upside risk มากกว่า Downside risk ให้กับสินทรัพย์เสี่ยงในปีนี้
กลยุทธ์การลงทุน : เมื่อวานนี้ SET Index ปรับตัว Rebound มาปิดที่เกือบระดับสูงสุดของวัน คาดวันนี้ดัชนีมีโอกาสปรับตัว Technical rebound ต่อแต่น่าจะอยู่ในกรอบจำกัด เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงเมื่อคืนคงเป็นปัจจัยกดดันกลุ่มพลังงาน คาดกลยุทธ์ขึ้นขาย-ลงซื้อจะยังคง Outperform กลยุทธ์ Buy and Hold ท่ามกลางสภาวะตลาดผันผวนต่อไป มองกลุ่มหุ้นที่ยังจะสามารถ Outperform ตลาดได้แก่
1) กลุ่ม Infrastructure ซึ่งเป็นธีมการลงทุนทั่วโลก ณ ขณะนี้ เนื่องจากนโยบายการเงินของหลายประเทศรวมถึงไทยเริ่มหมดกระสุนแล้ว จึงต้องหันมาใช้นโยบายการคลังแทน Top pick: BEM, CK
2) กลุ่ม Consumers ในประเทศ ปลอดภัยจากปัจจัยภายนอก และเตรียมได้อานิสงส์จากการปฏิรูปโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาในประเทศ อาทิ กลุ่มค้าปลีก (ROBINS, HMPRO) และกลุ่ม Discretionary (COM7, BIG, KAMART, BEAUTY, MC)
3) หุ้น High dividend yield ซึ่งมักจะ Outperform ได้ดีในช่วง 1-2 เดือนแรกของทุกปี ได้แก่ ASP, KGI, ASK, THANI, AP, LPN, QH, SC, SIRI, SPALI, AIT, INTUCH, BJCHI, STPI, TKS, TOG
4) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาท ได้แก่ KCE, DELTA, CPF, GFPT
5) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันขาลง ได้แก่ BCP, IRPC, TOP, EPG, TASCO
แนวรับ 1,220 แนวต้าน 1,266
บทวิเคราะห์วันนี้
TISCO (ถือ ราคาเป้าหมาย 44 บาท) ผลการดำเนินงานฟื้นตัวในช่วงปลายปี
Stock Comment: ADVANC (ซื้อ ราคาเป้าหมาย 224 บาท) จับตาประชุม กทค. จะขยาย Remedy Period หรือไม่
หุ้นมีข่าว
PETRO: Update สถานการณ์ปิโตรเคมีระยะสั้น (+/-)
Today's Event
CMO XR 2:1 @ 1.65 บาท
BROOK ลูกหุ้นเข้า 354,760 หุ้น
CHO ลูกหุ้นเข้า 89,402,100 หุ้น
CSS ลูกหุ้นเข้า 42,901,045 หุ้น
MAJOR ลูกหุ้นเข้า 89,335 หุ้น
TT ลูกหุ้นเข้า 301,938,276 หุ้น
TRC ลูกหุ้นเข้า 12,063,575 หุ้น
นักวิเคราะห์ :
ดุลเดช บิค, CFA, FRM, CAIA (ID: 29932) E-mail: [email protected]
ณัฐชาต เมฆมาสิน, CFA, FRM (ID: 31379) E-mail: [email protected]