- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 11 January 2016 17:20
- Hits: 2294
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ยังไม่ทิ้งความผันผวน'
Stock Picks-Jan 2016 : Fundamental : ANAN, AOT, BTSGIF, CPN, GL และ Dark Horse เป็น CK
Fundamental Pick -Today: LIT
ดูรายละเอียดด้านใน
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, DTAC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, QTC, SNC, TCAP, TMT, BTSGIF, DIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : BJC 26%, TTCL 20%, BLA 19%, AMATA 18%, CPN 16%, SPALI 15%, KBANK 15%, TMB 13%
Technical View ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ แต่ยังต้องระวังความผันผวน
Support Resistance Stop Loss
SET 1200+/- 1250-1260,1270 ค่าลบ
SET50 750-740 780-790,800 ค่าลบ
Technical Picks- Today : SCB, AMATAV, GL, SPRC, AAV, LPH, VIH, LIT
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดมีรีบาวด์ในวันศุกร์ โดย SET Index ปิด +19.35 จุดที่ 1244.18 หลังจากร่วงลงไปต่ำสุดที่ 1224.83 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิลดลงเหลือ 250 กว่าล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ 1.6 พันล้านบาท ด้านพอร์ตบล.ซื้อสุทธิ 1.4 พันล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 490 กว่าล้านบาท หุ้นกลุ่มที่ปรับขึ้นนำตลาด คือ สื่อสาร, พลังงาน, ธนาคารขนาดใหญ่, วัสดุก่อสร้าง (เช่น SCC, TASCO เป็นต้น)
เช้าวันนี้ตลาดหุ้นอยู่ใน Sentiment ที่เป็นลบ เพราะนโยบายของทางการจีนที่ได้ดำเนินการมาในปี 2014-2015 ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจชะลอตัวลง นอกจากนั้นกฎเกณฑ์ในตลาดหุ้นจีนที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วก็ทำให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนลดลง ราคาน้ำมันดิบที่ตกต่ำยังกดดันต่อใน 1Q16 และค่าเงินของประเทศเกิดใหม่และเอเชียที่อยู่ในทิศทางอ่อนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันตลาดและทำให้นักลงทุนต่างชาติให้น้ำหนัก Underweight ตลาดหุ้นเหล่านี้อยู่ และปัญหาการเมืองระหว่างประเทศและภัยก่อการร้ายก็เป็น Downside Risk ด้วย อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ายังสามารถเลือกซื้อเป็นรายบริษัทได้ หุ้นแนะนำซื้อตามด้วยค่าบวกวันนี้เป็น LIT
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมเป็นบวกเล็กๆ มีโอกาสรีบาวด์สั้นๆ จากภาวะ Oversold แนวต้านระยะสั้น 1250-1260, 1270 จุด แนวรับ 1200+/- จุด ส่วนการ SCAN หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น เราพบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น BCH, HMPRO และหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ ANAN, SEAFCO, TOP, AMATAV ส่วนหุ้นที่หลุด List คือ UNIQ ส่วนหุ้นที่หาจังหวะขายทำกำไร เป็น COM7, EPG, TACC, VIH
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 292,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค.2015 โดยเพิ่มจาก 252,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 5.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปีครึ่ง
- จีน : อัตราเงินเฟ้อปี 2015 ต่ำกว่าเป้าหมายมาก ดัชนีราคาค้าส่ง (PPI) ปี 2015 ลดลง 5.2%YoY สำหรับเดือนธ.ค.ลดลง 5.9%YoY เท่ากับเดือนพ.ย.2015 ทั้งนี้ดัชนี PPI ของจีนปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 46 ติดต่อกัน ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปี 2015 ขยายตัว 1.4%YoY ต่ำกว่าเป้าหมาย 3% ที่รัฐบาลจีนตั้งไว้ สำหรับดัชนี CPI เดือนธ.ค.ปรับตัวขึ้น 1.6%YoY เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย.ที่ขยายตัว 1.5%YoY
/- ตลาดหุ้นจีน : ห้ามผู้ถือหุ้นใหญ่ขายหุ้นเกิน 1% ในทุกๆ 3 เดือน และต้องยื่นแผนซื้อขายหุ้น 15 วันล่วงหน้า ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้สั่งห้ามผู้ถือหุ้นรายใหญ่สัดส่วน 5% หรือสูงกว่าขายหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากกว่า 1% ผ่านทางระบบเสนอซื้อขายกลางของตลาดหุ้นทุกๆ 3 เดือน ด้านก.ล.ต.จีน (CSRC) มีคำสั่งให้กลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ต้องยื่นแผนการซื้อขายหุ้นระยะเวลา 15 วันล่วงหน้า
-/ ตลาดหุ้นสหรัฐ : โกลด์แมน แซคส์ ปรับลดคาดการณ์ EPS ปี 2016 สำหรับ S&P 500 ลงจาก 117 เป็น 106 US$ และปี 2017 เท่ากับ 126US$ โดยการปรับลดหลักมาจาก Norm Profit ของหุ้นกลุ่มน้ำมันและพลังงานต่ำลง สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อกำไรตลาดหุ้นในปี 2016 ได้แก่ มาร์จิ้นของบจ.กำลังจะลดลงหลังถึงจุดสูงสุด โดยกลุ่มเทคโนโลยีเป็นตัวนำมาร์จิ้นตลาดเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ปี 2009 (โดยคิดเป็น 22% ของมาร์จิ้นส่วนเพิ่ม บริษัทที่มีมาร์จิ้นเพิ่มมากสุดในกลุ่มนี้ คือ Apple Inc.) และคาดว่ามาร์จิ้นของกลุ่มเทคโนโลยีจะ Peak ในปีนี้แล้วอ่อนลงในปี 2017 ด้านเศรษฐกิจเติบโตชะลอตัวลง ทีมนักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐปี 2016 จะขยายตัว 2.2% ส่วนจีนจะเติบโตลดลงเป็น 6.4% และเศรษฐกิจโลกที่ไม่รวมสหรัฐจะขยายตัว 3.7%
- การเมืองต่างประเทศ : สหรัฐจะคว่ำบาตรเกาหลีเหนือหลังทดสอบระเบิดไฮโดรเจน โดยร่างกฎหมายผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการต่างประเทศ & สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐแล้ว รอผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาและประธานาธิบดีโอบามาลงนามรับรอง โดยร่างกฎหมายนี้เปิดทางให้คว่ำบาตรทางการเงินต่อสถาบันต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการนิวเคลียร์ การฟอกเงิน และการละเมิดสิทธิมนุษยชน
- ตลาดหุ้นสหรัฐวันศุกร์ดิ่งต่อ โดยดัชนี DJIA วันศุกร์ปิด -167.65 จุด หรือ -1.02% ที่ 16,346.45 จุด แม้ว่าตัวเลขภาคแรงงานสหรัฐจะออกมาแข็งแกร่ง แต่ตลาดให้น้ำหนักกับความวิตกกังวลกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนจีนมากกว่า
- สัญญาน้ำมันดิบอ่อนตัวต่อ โดยสัญญา WTI ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 11 เซนต์ ปิดที่ 33.16 ดอลลาร์/บาร์เรล สัญญา BRENT ส่งมอบเดือนก.พ.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 20 เซนต์ ปิดที่ 33.55 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยยังวิตกกับอุปทานสูง ทั้งนี้ EIA รายงานว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 1 ม.ค. ยังเพิ่มขึ้น 17,000 บาร์เรล สู่ระดับ 9.219 ตรงข้ามกับที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะลดลง
- สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ร่วง 9.9 ดอลลาร์ หรือ 0.89% ปิดที่ 1,097.90 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
ไทย : ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 59 เบิกจ่ายไปแล้วร้อยละ 29.7 อธิบดีกรมบัญชีกลางเปิดเผยการเบิกจ่ายเงินงบประมาณไตรมาสแรกปี 2559 (ต.ค.58-ก.ย.59) ว่าภาพรวมเบิกจ่ายได้จำนวน 807,669 ล้านบาทของวงเงินงบประมาณ 2,720,000 ล้านบาท (ร้อยละ 29.7) สูงขึ้นจากปีก่อน โดยรายจ่ายประจำเบิกจ่ายแล้ว 739,608 ล้านบาท (ร้อยละ 34) รายจ่ายลงทุน (ไม่รวมงบกลาง) เบิกจ่ายแล้ว 67,977 ล้านบาท (ร้อยละ 14.9)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : ตัวเลขการใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐช่วงต.ค.2015-ก.ย.2016 ที่เพิ่มบ่งชี้ว่าการใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐจะเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ และคาดว่าการเปิดประมูลงานโครงการขนาดใหญ่จะทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องในปี 2016 เรามองว่าหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างมี Catalyst จากการประมูลงานใหม่ สามารถลงทุนเป็นรอบได้ หุ้นพื้นฐานเด่น คือ CK รองลงมาเป็น STEC, UNIQ หุ้น Dark Horse คือ ITD ส่วนกลุ่มวัสดุก่อสร้าง คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ชัดเจนตั้งแต่ 2H16 เป็นต้นไป และบริษัทที่มีรายได้จากต่างประเทศจะเติบโตได้ดีในระยะยาวเพราะมีฐานตลาดกว้างและกระจายความเสี่ยงมากกว่า และบริษัที่มีรายได้จากการส่งออกสุทธิจะได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อน หุ้นพื้นฐานเด่น คือ SCC, VNG รองลงมาเป็น DCC
/- โครงสร้างกำไรตลาดหุ้นแตกต่างจากโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยโครงสร้างกำไรของตลาดหุ้นไทย (SET) มาจาก 3 กลุ่มหลัก คือ พลังงาน, ธนาคารพาณิชย์ และสื่อสาร ประมาณ 50-60% ของกำไรสุทธิตลาดรวม แต่ทั้งสามกลุ่มดังกล่าวมีสัดส่วนในจีดีพีไทยในทางตรงประมาณ 20% ทำให้ทิศทางตลาดหุ้นอาจไม่ได้สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างมาก แต่จะมีความเชื่อมโยงกับกำไรของตลาดมากกว่า
สำหรับปี 2016 คาดการณ์ว่ากำไรของกลุ่มพลังงานจะมีความท้าทายจาก 1) ค่าการกลั่นที่ปรับขึ้นไปสูงมากในปี 2015 และน่าจะเป็น Peak ไปแล้ว โดยมีโอกาสอ่อนตัวลงในปี 2016 เพราะมีกำลังการผลิตโรงกลั่นใหม่เข้ามา, 2) การอ่อนตัวต่อเนื่องของราคาน้ำมันทำให้ยังมีความเสี่ยงจากผลขาดทุนในสต็อก และราคาน้ำมันดิบที่ต่ำทำให้อัตรากำไรของบริษัทสำรวจและผลิตน้ำมัน&ก๊าซลดลง และ 3) เงินบาทในทิศทางอ่อนค่าส่งผลให้มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ดี เชื่อว่าผลประกอบการกลุ่มพลังงานในปี 2016 จะดีกว่าปี 2015 ซึ่งเป็นฐานกำไรที่ต่ำมาก
กลุ่มธนาคารพาณิชย์ปี 2016 มีปัจจัยกดดันจากการด้อยค่าของสินทรัพย์และการตั้งสำรองฯสูงต่อเนื่องจาก 2 ปีก่อน รวมทั้งการปล่อยสินเชื่อใหม่ยังต้องระมัดระวังสูงทำให้การขยายตัวของสินเชื่อจะไม่มาก และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเติบโตในอัตราที่ไม่สูงนัก อย่างไรก็ตาม กลุ่มธนาคารมีความมั่นคงสูง และ Book Value/Share เพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และจ่ายปันผลให้อย่างสม่ำเสมอ หุ้น Top Pick เป็น KBANK รองลงมาเป็น TCAP (ปันผลสูง)
กลุ่มสื่อสารปี 2016 จะมีการแข่งขันสูงมาก เพราะมีผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหม่คือ JAS เข้ามา ขณะที่ ADVANC สูญเสียคลื่นความถี่ย่าน 900 MHz ไปให้ JAS และ TRUE และการเช่าโครงข่าย & อุปกรณ์ และแบนด์วิธจาก TOT เพิ่ม มีค่าใช้จ่ายถึง 1 หมื่นล้านบาท/ปี ขณะที่ DTAC แพ้ประมูลใบอนุญาต 4G ทั้งย่าน 1800 และ 900 MHz ทำให้ความมั่นคงเรื่องกำลังรองรับการบริการต่ำลง โดยรวมคาดว่ากำไรสุทธิของกลุ่มสื่อสารปี 2016 จะลดลง เพราะค่าตัดจำหน่ายใบอนุญาต 4G ต่อปีที่สูง (ย่าน 1800 MHz ตัดจำหน่ายปีละประมาณ 3 พันล้านบาท และย่าน 900 MHz ตัดจำหน่ายปีละประมาณ 5 พันล้านบาท) คาดว่าหุ้นที่ยังจ่ายปันผลสูงได้อย่างโดดเด่น คือ ADVANC และ INTUCH
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Update อุตสาหกรรม & หุ้นในเชิงกลยุทธ์
# KCE (ราคาปิด 68.50 บาท) : ได้ประโยชน์จากบาทอ่อน
เงินบาทในปี 2016 อยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า ล่าสุดอยู่ที่ 36.315 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนลง 0.85% จากสิ้นปี 2015 ทั้งนี้เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้นทั้งจากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวและการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งคาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นราว 4 ครั้งในปี 2016 นอกจากนั้น ค่าเงินหยวนของจีนที่อ่อนลงตามนโยบายของทางการจีนก็หนุนให้ธนาคารกลางของประเทศในภูมิภาคเอเชียบริหารค่าเงินให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันด้วยเพื่อไม่ให้เกิดความเสียเปรียบด้านการส่งออก
ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
KCE เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาท โดยเงินบาทที่อ่อนจะช่วยเพิ่มรายได้และอัตรากำไรรูปบาท ซึ่งในส่วนของมาร์จิ้นเริ่มปรับเพิ่มมาตั้งแต่ปี 2015 จากประสิทธิภาพเครื่องจักรที่ดีขึ้น & การควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายดำเนินงาน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นได้อีกในปี 2016 (บริษัททยอยย้ายกำลังการผลิตจากโรงงานเก่ามาโรงงานใหม่ 6 แสนตรฟ./เดือน ซึ่งแล้วเสร็จในเดือนต.ค.2015) สำหรับปี 2017 การเติบโตโดยหลักมาจากการขยายกำลังการผลิตอีก 7 แสนตรฟ./เดือน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2016 และเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ต้นปี 2017
แนะนำซื้อ ทางฝ่ายวิจัยฯ DBSV ให้ราคาพื้นฐานปี 2016 ไว้ที่ 73 บาท อิงกับ P/E ปีนี้ที่ 15 เท่า (Mean+1SD) ทั้งนี้คาดการณ์ว่า Norm Profit ปี 2016-2017 จะขยายตัวแข็งแกร่ง 28% และ 14% (อิงกับสมมติฐานค่าเฉลี่ยเงินบาทที่ 36 บาท/ดอลลาร์สหรัฐทั้งในปี 2016-2017) ฐานะการเงินดี คาดการณ์สัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนสิ้นปี 2016 ที่ 0.7 เท่า และมี ROE อยู่ในระดับสูงมากที่ 32%
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
# LIT (ราคาปิด 8.30 บาท) : ปี 2016 ขยายตัวไม่น้อยกว่า 30%
คาดสินเชื่อ รายได้ และกำไรปี 2016 จะเติบโตไม่น้อยกว่า 30% โดยหลักมาจากการเติบโตในส่วนสินเชื่อแฟคตอริ่ง (รับซื้อหนี้การค้า) ที่ตั้งเป้าหมายไว้ถึง 100% เป็น 8 พันล้านบาท รวมถึงคาดว่าสินเชื่อเพื่อออกหนังสือค้ำประกัน (Bid Bond) ก็จะเติบโตก้าวกระโดดด้วย เพราะปี 2016 จะมีการเปิดประมูลงานใหม่ๆ มากขึ้น และบริษัท SME ที่ต้องการเข้าทำงานภาครัฐต้องใช้หนังสือค้ำประกันในการเข้าประมูลงาน
ในปี 2016 ตั้งเป้าหมายการกันสำรองฯไว้ที่ 2.5% จาก 2.3% ของสินเชื่อคงค้างในสิ้นปี 2015 และควบคุมระดับ NPL ratio ไว้ไม่เกิน 2% ของสินเชื่อรวม ทั้งนี้ ณ สิ้นก.ย.2015 บริษัทมียอดสินเชื่อคงค้าง 1,162 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อที่เกี่ยวกับงานภาครัฐ 70% และภาคเอกชน 30% บริษัทคาดว่าในปี 2016 จะคงสัดส่วนหนี้ของภาครัฐต่อภาคเอกชนไว้ที่เดิม
อัตรากำไรสุทธิสูงถึง 36-37% สำหรับงวด 9M15 บริษัทมีรายได้ 140 ล้านบาท และทำกำไรสุทธิได้ 51 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 36.3% ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2014 ที่ทำได้ 37.3% สำหรับประมาณการกำไรสุทธิใน Consensus คาดว่า EPS ปี 2016 จะอยู่ที่ 0.50 บาท/หุ้น (+30%) หากให้เป้าหมาย P/E ปี 2016 ที่ 20 เท่า จะได้ราคาตามพื้นฐาน 10 บาท ซึ่งมี Upside จากราคาปัจจุบัน 20%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค แนะนำให้ซื้อตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้น โดยมีแนวต้านระยะสั้นที่ 8.50-9.00 บาท การอ่อนตัวต่ำกว่า 8 บาท ดูไม่ดี ควร Stop loss หรือลดพอร์ตตาม
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
# Turnover List Watch: LDC, NCL เข้าเกณฑ์ ติด 6 สัปดาห์ THE ถูกต่ออายุ
หลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์ติด cash balance 6 สัปดาห์ ระดับที่ 1 คือ LDC และ NCL ซึ่งซื้อขายอยู่ในตลาดฯ MAI เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 ม.ค.-19 ก.พ.59 ถือว่าเป็นไปตามคาด
สำหรับหลักทรัพย์ที่หมดการใช้ Cash Balance วันศุกร์ 8 ม.ค.59 แต่ตลาดฯให้ต่ออายุการใช้ Cash Balance คือ THE เริ่มตั้งแต่วันที่ 11-29 ม.ค.59
ด้านหลักทรัพย์หมดอายุการใช้ Cash Balance สัปดาห์นี้ อาจมีการเก็งกำไรล่วงหน้า แต่อาจต้องระวังเรื่องตลาดฯให้ต่ออายุการใช้ Cash Balance คือ JTS- 12 ม.ค.59 และ JWD, SANKO- 15 ม.ค.59
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา
[email protected]